๔๔. นิมิตก่อนบวช
นิมิตในที่นี้ หมายถึงภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นคล้ายความฝัน แต่ไม่ใช่ความฝัน ส่วนมากมักเป็นภาพที่บอกเหตุการณ์ล่วงหน้า เมื่อถึงเวลา เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นจริง ๆ ภาพนิมิตนั้นเป็นภาพปรากฏขึ้นเอง บังคับไม่ได้ บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป ไม่มีลางบอกล่วงหน้าว่าฉันจะมานะจ๊ะ หรือฉันจะไปแล้วจ้ะ เรียกว่าตามใจมันไม่ตามใจเรา...
เมื่อยังเด็กอยู่ ถ้าอาตมาเห็นภาพน้ำวนมหึมา หมุนวนกดทับลงมา อึดอัดแทบหายใจไม่ออกทีไร ก็เจ็บไข้ได้ป่วยทีนั้น และถ้าเห็นตัวเองเดินอยู่ในป่าไผ่โปร่งสีเขียวขจี มีแสงแดดสีทองส่องลอดลงมาเป็นทาง ๆ จะหายป่วยทุกที ก็นับเป็นเรื่องแปลกมาก...
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สุบินนิมิตเห็นน้ำป่าหลากมาจากตะวันตก มีพญาจระเข้มหึมาว่ายมากับสายน้ำ ตรงเข้าทำร้ายพระองค์ จึงเกิดต่อสู้กันขึ้น พระองค์ฆ่าจระเข้ร้ายลงได้ พอยกทัพไปรบกับ
พระมหาอุปราช พระองค์ก็ทรงมีชัยชนะอย่างเด็ดขาด เหมือนกับในสุบินนิมิตนั้น...
เล่าปี่นิมิตเห็นน้องร่วมสาบานทั้งสอง คือกวนอูและเตียวหุย ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ มาตามให้ไปอยู่ด้วย หลังจากนั้นไม่นาน เล่าปี่ซึ่งป่วยกระเสาะกระแสะอยู่ ก็สวรรคตจริง ๆ ไปอยู่ร่วมกับน้องทั้งสองสมดังนิมิตที่เห็นล่วงหน้า...
ในพงศาวดารโยนกเชียงแสน
เจ้าพรหมกุมาร โอรสของ
พระเจ้าพังคราช นิมิตเห็นเทวดามาบอกว่า จะมีช้างเผือกล่องมาตามแม่น้ำ ถ้าคล้องเชือกแรกได้ จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปราบได้ทั้งโลก ถ้าคล้องเชือกที่สองได้ จะปราบได้ทั่วชมพูทวีป ถ้าคล้องเชือกที่สามได้ จะได้เป็นใหญ่ในสุวรรณภูมิ... เจ้าพรหมกุมารจึงพาบริวารไปดักรอแต่เช้า แต่ไม่เห็นช้างเผือกดังนิมิต หากแต่เป็นงูยักษ์ตัวใหญ่โตมโหฬารล่องมาตามแม่น้ำ หลังจากปล่อยผ่านไปสองตัว ก็ตัดสินใจคล้องตัวสุดท้ายไว้ งูยักษ์กลายเป็นช้างเผือกผ่องทั้งกาย จึงให้ชื่อว่า “
พลายประกายแก้ว” ภายหลังใช้เป็นช้างศึก ปราบขอมดำจนสิ้น ได้เป็น
พระเจ้าพรหมมหาราช ปกครองแคว้นโยนกเชียงแสน ตลอดถึงสุวรรณภูมิจริง ๆ...
จากที่ยกตัวอย่างมา เป็นนิมิตบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าที่แม่นยำทั้งสิ้น ในที่นี้ขอกล่าวถึงนิมิตของตนเองบ้าง คืนหนึ่งอาตมาเห็นตัวเองและประชาชนนับหมื่นนับแสน ถูกกักบริเวณอยู่ในรั้วลวดหนามฝั่งหนึ่ง แออัดยัดเยียดไปหมด... อีกฝั่งเป็นที่โล่งมีเต๊นท์กางอยู่ ภายในเต๊นท์มี “
หลวงพ่อ”
หลวงปู่มหาอำพัน ฯลฯ นั่งอยู่ อาตมาทนเขาเบียดไม่ไหว จึงปีนลวดหนามข้ามไปอยู่กับหลวงปู่ – หลวงพ่อ มองกลับมาไม่เห็นมีใครตามมาซักคน ทั้งที่ปีนไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย...
อีกคราวหนึ่งอาตมาเห็นตนเองเป็นพระ แบกพัดจะไปงานมงคลบ้านใครคนหนึ่ง อาตมาห่มจีวรแต่นุ่งกางเกงอยู่ ไปถึงบ้านงานเห็นพระหนุ่ม ๆ นับร้อย นั่งเงียบน่าเลื่อมใส แต่อาตมารู้สึกว่าพวกเขา “
แกล้งทำเคร่ง” เลยไม่นั่งด้วย พอดีเห็นแถวในสุดมีหลวงปู่มหาอำพันนั่งอยู่ จึงไปนั่งต่อท้ายหลวงปู่...เอาจีวรปิดกางเกงไว้...
จากนิมิตทั้งสองครั้ง อาตมาคิดว่าคงต้องบวชแน่ แม้ว่าแม่ขอร้องให้บวชทีไร อาตมาปฏิเสธทุกทีเพราะกลัวนรก และก็เป็นจริงเมื่อ “หลวงพ่อ” ถามว่า “
ไอ้หนู...หลวงพ่อต้องการพระบวชแก้บนสามองค์ จะบวชให้พ่อได้ไหมลูก...?” อาตมาเห็นว่าเป็นการบวชแก้บน คงบวชแค่ไม่กี่วัน จึงรับปากและบวชมาจนบัดนี้ ก็เพิ่งคิดได้ว่า ๑๐๐ ปี มีแค่ ๓๖,๕๐๐ วัน เท่านั้นเอง...!
ภาพนิมิตทั้งหลาย หากปรากฏขึ้น จงศึกษาไว้เป็นแนวทางเท่านั้น อย่ายึด-อย่าเกาะ เพราะมันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ นิมิตส่วนใหญ่จะเป็นมารมาพาให้หลง ภาวนาอยู่เกิดนิมิต ก็ไปติดไปเกาะ ไม่ยอมละ ยอมวาง แบบนี้ก็เอาดียาก นิมิตที่จำเป็นต้องยึดมีประการเดียว คือนิมิตตามกองกรรมฐานเท่านั้น...!
๔ เมษายน ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ