ดูแบบคำตอบเดียว
  #57  
เก่า 22-06-2012, 09:23
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

จำยอมเทศน์พรรษาแรก


การเรียนของท่านในเวลานั้นยังไม่ได้เรียนนักธรรมตรี เพียงแต่เรียนสวดมนต์และสวดพระปาฏิโมกข์ และด้วยความตั้งใจร่ำเรียนหนังสือ ท่องบทสวดมนต์ทำวัตรอย่างจริงจังเช่นนี้ ทำให้เพียงพรรษาแรกของการบวช ท่านก็สามารถเรียนสวดมนต์ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน และปาฏิโมกข์จบหมด และยังได้ขึ้นสวดปาฏิโมกข์ในกลางพรรษาอีกด้วย นับเป็นสิ่งยากสำหรับพระภิกษุบวชใหม่ทั้งหลายจะพึงกระทำได้

ครั้นเมื่อออกพรรษาตามฤดูกาล ชาวบ้านเขาจะทำบุญลานข้าว เขาจะเอาข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉาง ภาษาอีสานเขาเรียก “ฟาดข้าว” ฟาดข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็นิมนต์พระไปทำบุญที่ “กองประทายข้าวเปลือก” แล้วจึงขนขึ้นบ้านขึ้นเรือน ครั้งนั้น ชาวบ้านเขาพากันมานิมนต์ท่านพระครูฯ วัดโยธานิมิตร ที่นี้คนนั้นก็ทำบุญลานข้าว คนนี้ก็ทำบุญลานข้าว เมื่อมากต่อมากเข้าพากันมานิมนต์พระจนหมดวัด ไม่มีพระให้เขาแล้ว ท่านพระครูฯ ก็เลยให้ท่านเป็นหัวหน้า ทั้งที่เพิ่งบวชได้พรรษาเดียวเท่านั้น และก็ยังไม่เคยเตรียมตัวมาก่อนเลยด้วย

ท่านพระครูฯ ว่า “มันไม่มีพระจะทำอย่างไร ไปฉลองศรัทธาให้เขาหน่อยสิ”
จึงตกลงให้พระภิกษุบัวเป็นหัวหน้า ครั้งนั้น ท่านก็ได้พกเอาหนังสือเทศน์เล่มหนึ่งประมาณ ๑ กัณฑ์จบพอดี พกติดย่ามไปด้วย เผื่อว่าเวลาจำเป็นก็จะเอาหนังสือนี้ออกเทศน์ ท่านเล่าเหตุการณ์ตอนนี้ว่า

“...พอออกพรรษาแล้วถูกเขานิมนต์ไปในงานข้าวเปลือกตามลานข้าว เขาถือเป็นประเพณีนิมนต์พระไปทำบุญที่ลานข้าวเขา เสร็จแล้วเขาถึงจะขนข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉางเขาเป็นปกติ ส่วนมากเขาทำอย่างนั้น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเขาทำทุกรายนะ แต่ส่วนมากมันเป็นอย่างนั้น เราก็ได้พรรษาเดียว เดือนพฤศจิกายนกำลังหนาวนะ ไปค้างที่ลานนั่นแหละ เขาจัดทำเลไว้ให้ค้างให้พักที่นั่น ..

เราก็ไป... ไปก็ไปนอนค้างคืนที่บ้านหนองแวง... ตะวันออกบ้านดงเค็ง พอไปตอนกลางคืนสวดมนต์เรียบร้อยแล้วก็ค้างที่นั่นเลย ตอนเช้าฉันจังหันเสร็จ เขานิมนต์ให้ขึ้นเทศน์ เทศน์ตอนแรกก็ได้นะสิ มันมีหนังสือเล่มหนึ่งบาง ๆ กัณฑ์เดียวความว่า “จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา” เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคตติเป็นอันหวังได้

เทศน์จบกัณฑ์นี้แล้ว ต่อมาพวกหลังแห่กันมาอีก.. มาขอฟังเทศน์ ทีนี้ตัวผู้เฒ่าศรัทธาเจ้าภาพก็ว่า ‘ท่านเทศน์ให้ฟังก็ได้ จะยากอะไร ?’
เขาไม่ยากนะสิ แต่เรามันจะตายเอา (หัวเราะ) มันเหงื่อแตก นี่ขนาดหนาว ๆ นะ โถ!.. เราอยากฆ่าเฒ่านั่น เรายังไม่ลืมเฒ่านั่น เฒ่าที่ว่า ‘เทศน์มันยากอีหยัง ?’

โธ่!.. ยากบ่ยาก แต่เรามันแค่น (แน่นในอก) เสียแล้ว หัวอกมันคับแล้ว จะเอาอะไรมาเทศน์ละทีนี้ มันไม่มีอะไรแล้ว !! กูตายนี่... พอเขานิมนต์ให้เทศน์แล้ว ทีนี้มันก็อยู่กับหัวหน้า จะให้เขาเทศน์มันก็ไม่ได้นี่นา.. ตกลงก็ต้องเป็นเราเทศน์ โถ.. หนาว ๆ นี่แต่เหงื่อก็แตกหมดเลยนะ แต่มันก็ไปได้นะ ก็แปลกอยู่ เวลาจนตรอกมันไปได้นะ เทศน์ไปได้ นี่นะ.. แต่ว่าอกนี้จะแตก มันก็พอปีนรอดตัวไปได้ ‘ว่างั้น’ เถอะนะ

พอเทศน์เสร็จก็ออกมา เพื่อนพระมาด้วยกันมาพูดหยอกล้อว่า ‘โถ! เวลาเทศน์ก็เทศน์ดีนี่นะ’

เราว่า ‘อยากตายดิ๊.. อยากตาย อย่ามายุ่งเด้อว่ะ อย่ามาล้อเด้อว่ะ’

‘ฮ่วย! อยากตายอีหลีดิ๊เดี๋ยวนี้’ (อยากตายจริง ๆ หรือนี่)

เรามันโมโหนี่ว่ะ เหงื่อยังแตกอยู่บ่เซา (เหงื่อไหลไม่หยุด) เข้าใจไหมล่ะ ? ภาคอีสานทางนี้เขาเรียก “ข้าวโป่ง” ฉันเพลข้าวโป่งแผ่นเดียวก็ฉันไม่หมด มันสิตาย มันแค่น (จุกในอก กินไม่ลง) โน่นน่ะ

‘โอ้ ทุกข์มากจริง ๆ ชีวิตของพระก็มีครั้งนั้นละ เราจำไม่ลืมนะ.. ทุกข์มากที่สุด ยังไม่ได้อะไร ก็ยังไม่ได้คิดเรื่องเทศน์ ภาษิตหนังสืออะไร ๆ เราก็ยังไม่เคยสนใจเรียน ก็คิดตั้งแต่เรื่องสวดมนต์สวดพร เรียนจบไปตามนั้น ๆ หลังจากนั้นไปแล้ว เราก็จะเริ่มเรียนนักธรรม เรากะไว้อย่างนั้นนะ ปีนี้จะต้องเรียนสวดมนต์ และปาฏิโมกข์ให้ได้เสียก่อน พอปีที่สองตั้งหน้าใส่ฝ่ายนักธรรมเลย พอออกพรรษาเท่านั้น ยังไม่ได้เรียนนักธรรม เขาก็จับไปเทศน์แล้ว มันจะไปได้ภาษิตที่ไหนจากไหนมา ยกเป็นคาถาเทศน์ขึ้นมา มันไม่ได้มีอะไรจะเทศน์ละทีนี้ โอ้ย.. คับหัวอก ทุกข์ที่สุดเลย โธ่.. ฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นกลืนไม่ลง เข้าใจไหม จะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟัง..! มันคับมันแค้นในหัวใจ นี่ละชีวิตของพระ เรามีครั้งนั้นละ ทุกข์มากจริง ๆ ก็เทศน์ให้เข้าฟังได้นะ คนเรามันจะตายจริง ๆ มันปีนได้นะ มันปีนไปจนได้นั่นละ’

จากนั้น พอกลับมาถึงวัดก็หาคัมภีร์เอามาท่องกัณฑ์เทศน์เลย ค้นหนังสือเทศน์ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ค้นเอากัณฑ์เทศน์ของท่านที่เราชอบใจ ท่องขึ้นใจ คล่องปากยิ่งกว่าท่องพระปาฏิโมกข์เสียอีก คิดในใจว่า ‘คราวนี้ไม่ตายแล้ว ถ้ามีเหตุจำเป็นต้องได้เทศน์ที่ไหน ก็จะเอากัณฑ์นี้ออกเทศน์’ ก็เลยไม่ถูกนิมนต์เทศน์อีกเลย...”

นับแต่นั้นมา ท่านกลับไม่เคยได้เทศน์ในลักษณะนี้อีกเลย และเทศน์หนนั้นก็ยังทำให้ท่านไม่มีวันลืมเลือนได้เลย ด้วยเหตุผลว่า

“เพราะเป็นการเทศน์แบบจนตรอกจริง ๆ ไม่มีทางไปเลย แต่ก็ต้องปีนเอา เอาตายสู้เลย ... เราไม่เคยมีจนตรอกจนมุม มีครั้งนี้ครั้งเดียว จากนั้นไม่เคยมีปรากฏในชีวิตของพระ เรามีครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราฝังลึกมาก อันนี้ก็ไม่ลืม... จากนั้นมาก็พอเทศน์ได้ธรรมดา ไม่อั้นตู้ (อับจน) เหมือนตอนนั้น เพราะเรียนหนังสือไปด้วย จะมีเทศน์บ้างก็ยามจำเป็นจริง ๆ หากไม่จำเป็นไม่เทศน์”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2012 เมื่อ 11:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา