ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 13-03-2010, 15:33
โอรส's Avatar
โอรส โอรส is offline
นายทะเบียน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 897
ได้ให้อนุโมทนา: 37,411
ได้รับอนุโมทนา 206,422 ครั้ง ใน 3,180 โพสต์
โอรส is on a distinguished road
Default เหตุใดพระสีวลีท่านมีลาภมาก

ถาม : ...........
ตอบ : ลักษณะการทำบุญปิดท้ายจะมีลาภมากแบบพระสีวลี ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงรุ่นเก่า ๆ จะรู้ดี ทำบุญปิดท้ายไปเรื่อย ปิดไม่รู้จักจบ คนโน้นปิดคนนี้ก็ปิดต่อไปเรื่อย เพราะว่าพระสีวลีท่านทำบุญปิดท้ายรายการบุญใหญ่ของคนอื่นเขา ท่านจึงมีลาภมาก

เนื่องจากว่าสมัยนั้นท่านเกิดเป็นคนจน มีอาชีพตัดฟืนอยู่ในป่า ตอนนั้นระหว่างชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันอยู่ แข่งกันทำความดีถือว่าน่าสรรเสริญ ชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันทำบุญ ลักษณะว่าใครจะทำบุญถวายพระพุทธเจ้าได้ดีกว่ากัน พอถึงเวลาพระราชาท่านก็จัดโน่นจัดนี่มาให้ดีกว่าชาวบ้าน ทีนี้กำลังของพระราชาเองถ้าไม่เกณฑ์ชาวบ้านนี่ถ้าจะเอาดีก็คงจะได้ไม่เท่าไร ชาวบ้านพอสู้ได้เพราะคนเยอะกว่าก็ช่วยกันสรรหามา

จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้ายชาวบ้านเขากะจะเกทับให้พระราชาไม่มีโอกาสกระดิก ทำบุญครั้งนี้จะหาของทุกอย่างที่พึงจะถวายพระมาให้ครบ ปรากฏว่าพอหามาแล้วขาดน้ำผึ้งสดจากรวงอย่างเดียว น้ำผึ้งเก่ามีแล้ว อยากจะได้ที่คั้นสด ๆ ถวายพระเลย บรรดาท่านที่เป็นหัวหน้าก็ประกาศให้ลูกน้องนำเงินคนละ ๑ พันกหาปณะไปยืนรอที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ ใครมีรวงผึ้งสดมาให้ขอซื้อจากเขา ให้ราคาไปเรื่อยให้จนกระทั่งหมดพันกหาปณะนั่นแหละ เชื่อว่าคนเขาต้องขายให้อยู่แล้ว เพราะปกติราคาไม่ถึงกหาปณะด้วยซ้ำไป หนึ่งกหาปณะในปัจจุบันถ้าเทียบอัตราเท่ากับ ๔ บาท หรือ ๑ ตำลึง แต่อย่าลืมว่า ๔ บาทโบราณนี่ค่ามหาศาลเลยนะ

คราวนี้พระสีวลีท่านเป็นชายตัดฟืน บังเอิญวันนั้นไปเจอรังผึ้งเข้า ก็เลยตัดรังผึ้งแบกมาด้วย พอมาถึงประตูเมือง บรรดาเจ้าของทานทั้งหลายที่มารออยู่ พอเห็นเข้าก็ขอซื้อ บอกว่า "นี่พ่อคุณ..เราขอซื้อผึ้งรวงของท่านในราคา ๑ กหาปณะจะขายไหม ?" พระสีวลีท่านได้ยินก็สะดุดใจ ท่านเป็นคนฉลาด ถึงจะจนแต่ก็ฉลาด ของราคาไม่ถึงทำไมให้ราคาแพงจัง จึงลองแกล้งขยักเอาไว้หน่อยซิ "ไม่ขาย" พอไม่ขายอย่างนั้น ๒ กหาปณะ ๔, ๘ กหาปณะไล่ขึ้นไปเรื่อย ท่านก็ไม่ขายจนกระทั่งถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะท่านก็ไม่ขาย บรรดาคนที่ไปรอก็หมดปัญญา นายเขาให้มาแค่พันเดียว ก็ถามว่า "แล้วท่านคิดราคาเท่าไรถึงจะขาย ?"

พระสีวลีก็ถามว่า "ท่านต้องการรวงผึ้งเห็นปานนี้ไปเพื่อกิจอะไร ? ถ้าท่านบอกเราแล้ว เราถึงจะกำหนดราคาได้" เขาก็บอกว่า "พวกเราจะทำบุญถวายพระพุทธเจ้ากัน ต้องการที่จะถวายของทุกอย่างที่สมควรแก่สมณบริโภคให้มีครบถ้วน ตอนนี้ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียวนายถึงได้ให้มาดักรอซื้อ แพงแค่ไหนก็จะซื้อ เพื่อให้ได้ทำบุญ" พระสีวลีบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นเราไม่ขาย แต่ให้ไปแจ้งกับนายของพวกเธอว่า ถ้าอนุญาตให้เราทำบุญด้วยน้ำผึ้งรวงนี้ เราก็จะให้ฟรี ๆ" เขาก็วิ่งอ้าวไปบอกเจ้านาย เจ้านายก็โมทนาและอนุญาตให้ร่วมด้วย กลายเป็นว่าของทุกอย่างมี ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียว แล้วพระสีวลีได้ทำบุญปิดท้ายกองบุญนั้น

คราวนี้ด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าและอานุภาพของทานครั้งนั้น น้ำผึ้งรวงเดียวคั้นแล้วพอถวายพระทุกองค์ ทั้ง ๆ ที่พระมาตั้งมากมายมหาศาล เพราะมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พอแก่พระทุกองค์ เขาบอกว่าในสมัยนั้นหลังจากที่ทุกคนทำกาละ คือตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา

คราวนี้พระสีวลีท่านไม่ได้เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นแบบนั้น ท่านก็เลยลงมาเกิดเป็นพระสีวลี ในชาติที่ท่านมาเกิดก็ใช้หนี้กรรมเก่าหน่อยหนึ่ง เพราะว่าในอดีตชาตินานมาแล้ว ท่านเคยเป็นพระมหากษัตริย์ ไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาอยู่ ๗ ปี ๗ วัน แต่ว่าด้วยอานุภาพบุญ ทำให้ไม่รู้สึกลำบากเลย คลอดออกมาก็ ๗ ขวบกว่า ๆ ประเคนของพระได้เลย แล้วก็ขอบวช แค่พระปลงผมให้เสร็จก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์

เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก เหตุที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก พระพุทธเจ้าบอกว่า เพราะทำบุญปิดท้ายรายการ เสริมทุกอย่างของคนอื่นเขาให้บริบูรณ์ ตัวเองก็เลยบริบูรณ์ไปด้วย ถ้าไม่มีของท่านแล้วจะขาด ถ้ามีของท่านแล้วถึงจะสมบูรณ์บริบูรณ์ ท่านก็เลยรับเอาอานิสงส์นั้นไปเต็ม ๆ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-05-2016 เมื่อ 15:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ โอรส ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา