เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา ใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม ถ้าเผลอตัวไปคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากการภาวนาและลมหายใจเข้าออก เมื่อรู้ตัวก็ให้ดึงกลับมาหาลมหายใจเข้าออกเสียใหม่
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ วันนี้จะกล่าวถึงคู่ศึกในการปฏิบัติธรรมของเรา ก็คือสังโยชน์ที่เป็นเครื่องร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสาร และบารมี ๑๐ ที่จะช่วยให้พวกเราหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้
สังโยชน์ ๑๐ นั้นเริ่มต้นด้วยสักกายทิฐิ ก็คือมีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา เป็นความเห็นที่ยึดถือปักมั่นแน่นแฟ้นมานับชาติไม่ถ้วน ถ้าใครบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ก็มักจะคิดว่าคนนั้นบ้า ข้อที่ ๒ คือ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติธรรม ว่าทำแล้วจะได้อย่างนั้นหรือไม่ ทำแล้วจะได้อย่างนี้หรือไม่ มัวแต่คิดฟุ้งซ่านอยู่ เลยไม่ได้ปฏิบัติเสียที
ข้อที่ ๓ คือ สีลัพพตปรามาส การรักษาศีลอย่างไม่จริงไม่จัง ถ้าตราบใดที่เรายังไม่รักษาศีลให้จริงจัง โอกาสที่เราจะหลุดพ้นก็เป็นไปไม่ได้ ข้อที่ ๔ คือ กามฉันทะ ได้แก่ ความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสในระหว่างเพศ ข้อที่ ๕ คือ ปฏิฆะ อารมณ์กระทบที่เกิดขึ้นซึ่งทำให้เราไม่ชอบใจ เป็นต้นเหตุของโทสะ
ข้อต่อไป คือ รูปราคะ และ อรูปราคะ คือการติดในรูปและในสิ่งที่ไม่ใช่รูป ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ในส่วนที่ติดง่ายที่สุดก็คือฌานสมาบัติ ทั้งในส่วนของรูปฌานและอรูปฌาน เพราะเกิดความสุขเยือกเย็นเนื่องจากกดกิเลสดับลงได้ชั่วคราว ทำให้บุคคลที่ไม่เคยเข้าถึงยึดติดได้ง่าย ข้อที่ ๘ คือ มานะ ความถือตัวถือตนว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา เป็นต้น ข้อที่ ๙ คือ อุทธัจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน อยากได้นั่น อยากได้นี่ อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ และข้อสุดท้าย คือ อวิชชา ความเขลาที่ไม่รู้ถึงสาเหตุของความทุกข์ เลยทำให้เราไปยึดถือมั่นหมายจนเกิดความทุกข์ต่าง ๆ ขึ้นมา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2016 เมื่อ 11:46
|