บทเวลามันผ่านไปแล้วมันมาแยกแยะได้หมดนะ.. อ๋อ ท่านว่าอย่างนั้น หมายความว่าอย่างนั้น ๆ มันย้อนรู้หมดเลยนะ นี่..ที่ท่านเอาซุงทั้งท่อนมาให้เราไปเจียรนัยเอง ครั้นเวลามันรู้.. มันตามรู้ทั้งหมด อ๋อ.. ท่านให้เราคิดเอาความหมาย ท่านพูดให้พิจารณาหรือแจงให้ ท่านก็อาจจะทำ แต่สำหรับเรา.. ท่านไม่เคยนะ อันไหนต้องโยนให้ทั้งท่อนเลย.. ให้ไปเจียรนัยเอา มันก็ย้อนหลัง ๆ มาพิจารณาถึงเรื่องเหล่านี้ เช่นอุทธัจจะ.. ความฟุ้ง มันความเพลินในความเพียร มันไม่อยากเข้าสมาธิ มันเพลินถ่ายเดียว เพราะฉะนั้น จึงต้องรั้งเข้ามาสู่สมาธิให้พอเหมาะพอดีกัน เป็นอย่างนั้น...”
แม้จะใช้วิธีรั้งการฆ่ากิเลสเอาไว้ด้วยคำบริกรรม พุธโธ.. เพื่อสงบ พักงานเข้าสู่สมาธิ ทำให้มีกำลังวังชาเหมือนกับได้ถอดเสี้ยนถอดหนาม ถึงขนาดนั้นแล้วก็ตาม ท่านว่ายังต้องคอยบังคับไว้มิให้พุ่งออกทำงานอีก เพราะสติปัญญาจะตามต้อนกิเลสเรื่อยไป ดังนี้
“... เวลาออกทางด้านปัญญานี่ โถ !..ไม่มีในตำรา เราก็เรียนมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงกล้าพูดได้ กิเลสประเภทไหนเป็นยังไง สติปัญญานี้เหนือกว่า ๆ ตามต้อนกันทัน เผากันไปเรื่อย ๆ มันเป็นเอง นั่นละที่มันเพลิน มันไม่ได้หลับได้นอน มันเพลินฆ่ากิเลสเพราะมันเห็นภัยอย่างสุดหัวใจแล้ว ถึงขนาดที่ว่า
‘ยังไงกิเลสไม่ตาย เราต้องตาย’…”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2015 เมื่อ 14:51
|