เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบเอาไว้ว่า "พระธรรมวินัยนี้เหมือนกับคลื่นทะเล ย่อมซัดเอาซากศพและขยะต่าง ๆ ขึ้นสู่ฝั่งเสมอ" ดังนั้น..ถ้าหากว่าเรา "ทำตัวเป็นปลาตายลอยน้ำ" ไม่หวังความก้าวหน้าอะไร ท้ายที่สุดก็จะโดนกิเลสชักนำไป ถ้าไม่สึกหาลาเพศเสียก่อน ก็จะยอมจ่อมจมอยู่ในผ้าเหลืองท่ามกลางความเลวของตนเอง แล้วก็กลายเป็นสนิมเหล็กที่คอยกัดกร่อนจนพระพุทธศาสนาผุพังไปทุกวัน..!
นอกจากสร้างสิ่งที่ดีที่งามเสริมให้พระพุทธศาสนาของเราเป็นสิ่งที่ให้คนเคารพศรัทธาไม่ได้แล้ว ยังเท่ากับเป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนาด้วยตนเองเสียอีก..!
อย่าได้หวังว่าจะอาศัยคนอื่น เราบวชมาวันแรก อุดมการณ์มีไว้อย่างไร ? จะปฏิบัติเพื่ออะไร ? หลักการ วิธีการ ครูบาอาจารย์ได้บอกไว้หมดแล้ว ก็อยู่ที่เราว่าจะมีความพากเพียรไม่ท้อถอยสักเท่าไร ? ไม่ใช่กระทบโน่นนิดก็ท้อ กระทบนี่หน่อยก็ถอย อย่างนั้นไม่ใช่ทหารในกองทัพธรรม แต่ว่าเป็นขี้ข้ากิเลส พร้อมจะโดนเขาจูงจมูกไปเป็นทาส..!
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน หรือว่าอารมณ์ใจ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ตาม ต้องเอามาเป็นประโยชน์ในการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร เราแค่แข่งขันกับตัวเองก็พอแล้ว
คำว่า "ตัวเอง" ในที่นี้ ก็คือ ระหว่างใจของตนเองที่เต็มไปด้วยกิเลส กับกำลังใจที่ว่า เราจะสามารถขัดกิเลสส่วนนี้ออกจากใจของเราได้ หรือว่ากิเลสจะฝังแน่นต่อไป ? ทดลองแข่งขันกับตนเองดูบ้าง ไม่ใช่อยู่แบบไร้จุดมุ่งหมายไปวัน ๆ อยู่รอแค่ให้ผ่านพ้นวันนี้ไป รับหน้าที่อะไรไป ก็ไม่เคยทำให้เต็มที่ สักแต่ว่าทำงานนั้นให้เสร็จ ไม่ได้คิดจะทำให้ดีที่สุดเต็มกำลังของตนเลย
ถ้าเป็นไปในลักษณะนี้ ท่านทั้งหลายก็ไม่มีหวังในเรื่องของมรรคของผลอะไรเลย เนื่องเพราะว่ามรรคผลนั้น เป็นเรื่องของคนจริง ไม่ใช่แค่คิด หากแต่ว่าพูดจริง แล้วก็ทำจริงด้วย ยอมมอบกายถวายชีวิต เพื่อแลกกับข้อธรรมที่ตนเองจะพึงได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2024 เมื่อ 02:20
|