ถาม : ที่เขาบอกว่าบุคคลผู้ประกอบด้วยเหตุ ๓ กับบุคคลผู้ประกอบด้วยเหตุ ๒ ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เราใช้คำว่าเหตุนี่หมายถึงอะไร ?
ถาม : ถ้าเป็นเหตุ ๓ คืออโลภะ อโทสะ อโมหะ กับเหตุ ๒ คือ อโลภะ กับ อโทสะ
ตอบ : แล้วคำถามคือว่า...?
ถาม : จะต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็เห็นชัดเจนอยู่ตรงตัวสุดท้ายว่า ถ้าเป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยเหตุ ๓ จะมีปัญญามากกว่า เพราะว่าเหตุ ๒ ตัวโมหะละไม่ได้ โมหะเป็นตัวบดบังปัญญาที่ชัดเจนที่สุด อาจจะเป็นว่าถึงคุณไม่มีความโลภ ถึงคุณไม่มีความโกรธ แต่ว่าคุณยังมีความหลงติด ยังยึดติดอยู่ เรื่องอย่างนี้จะสังเกตได้ง่ายถ้าปฏิบัติไปถึง ต้องอาศัยตัวปัญญาเป็นเครื่องสังเกต ถ้าประกอบไปด้วยปัญญาชัดเจน มีความแคล่วคล่อง มีความแกล้วกล้า ไม่ได้ไปหลงยึดติดอะไรง่าย ๆ ถ้าอย่างนั้นต้องบอกว่าเหตุ ๓ เข้าถึงมรรคเที่ยงแท้แน่นอนกว่า
ถาม : ปัญญาในการทำงานหรือเปล่า ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่าปัญญาทางโลก เป็นปาริหาริกปัญญา ปัญญาทางธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเนปักกปัญญา เป็นปัญญาในการประพฤติปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสารโดยเฉพาะ
ถาม : ปัญญาทางโลกนี่เกิดจากอำนาจของโลภะหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เกิดจากการสั่งสมมา จะว่าไปแล้วก็มาจากโมหะ เพราะว่าเรายังเกิดอยู่แสดงว่ายังมีโมหะอยู่เต็ม ๆ หลังจากเกิดมา สภาพจิตได้รับการย้อมขึ้นมา รัก โลภ โกรธ หลงอื่น ๆ ก็จะตามมาอีกมากมาย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 16:00
|