ดูแบบคำตอบเดียว
  #551  
เก่า 24-07-2020, 12:23
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,849 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พอมาพูดตอนนี้แล้วท่านขึ้นเทศน์ ตามธรรมดาดูเหมือนเราเทศน์แล้ว ท่านขึ้นไปเทศน์ที่สอง งานวัดโพธิฯ พอท่านเทศน์เราก็นั่งฟัง ท่านเทศน์ถึงนิพพานว่า นิพพานเป็นอนัตตา สะดุดกึ๊กเลยใจเรา...”

คราวหนึ่งท่านเจ้าคุณได้แสดงธรรมที่ศาลาวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มีเนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวว่า “นิพพานเป็นอนัตตา” ทำให้ท่านรู้สึกสะดุดใจในทันที และคิดว่าจะต้องแอบหาโอกาสเข้ากราบเรียนถวายท่านเจ้าคุณในทันที เพราะเป็นประเด็นหัวข้อธรรมที่สำคัญมาก เมื่อท่านเจ้าคุณลงจากธรรมาสน์ ท่านจึงรีบเดินตามในทันที ก็พอดีท่านเจ้าคุณก็ชวนขึ้นด้วยเช่นกันว่า “ไป.. บัวไปด้วยกัน” ท่านเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า

“... (ครั้งนั้น) ท่านขึ้นเทศน์ตามธรรมดา ดูเหมือนเราเทศน์แล้ว ท่านขึ้นไปเทศน์ที่สอง งานวัดโพธิสมภรณ์ พอท่านเทศน์เราก็นั่งฟัง ท่านเทศน์ถึงนิพพานว่า ‘นิพพานเป็นอนัตตตา’ ตอนนั้นเราสะดุดใจกึ๊กเลย พอไปถึงก็ซัดกันเลยระหว่างพ่อกับลูก

‘ต้องขอประทานโอกาสพระเดชพระคุณ ทำไมพระเดชพระคุณจึงเทศน์ว่า นิพพานเป็นอนัตตา เพราะนิพพานบังคับไม่ได้ นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหา จะเป็นอนัตตาอย่างไร อนัตตาเป็นทางเดินของพระนิพพานต่างหาก จะมาเรียกพระนิพพานว่าเป็นอนัตตาได้อย่างไร ?

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน นิพพานจะมาเป็นอนัตตาอย่างไร ถ้านิพพานเป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ละซิ ถ้าอันนี้ยังไม่สมบูรณ์ยังไม่ถึงพระนิพพาน อันนี้สมบูรณ์แบบแล้ว..สลัดปั๊วะ ถึงนิพพานเลย’

ท่านนิ่งเลยนะ นี่ละ..อุปัชฌาย์กับลูกศิษย์สนทนากัน เราก็เด็ดด้วย..เพราะผิดมาก ท่านนิ่งเงียบ คือผิดต่อความจริงอย่างมากมาย เพราะฉะนั้น ถึงเบิกออกทันที...”

เกี่ยวกับความเห็นในหัวข้อธรรมเดียวกันนี้ ในเวลาต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๔๒ ข้อธรรมในประเด็นนี้ เป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในวงชาวพุทธ ฝ่ายปริยัติและองค์หลวงตาได้กลายมาเป็นผู้ไขปัญหาให้สังคมได้เข้าใจอย่างชัดเจน ด้วยความชัดเจนทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติว่า “นิพพานมิใช่อัตตา มิใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน” ดังนี้

“... พระนิพพานนั้นคือพระนิพพาน ... ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ... มรรค ๔ นั้น ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อาหัตผล นี่เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ... คือพ้นจาก ๘ ภูมินี้ไปแล้วเป็นนิพพาน ๑ นิพพานมีหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา นิพพานคือ นิพพาน

อัตตา อนัตตา นั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานล้วน ๆ เป็นพระนิพพานไปไม่ได้ ผู้ที่จะพิจารณาให้ถึงพระนิพพาน ต้องเดินเหยียบย่างไปในไตรลักษณ์ คือพิจารณาไปกับเรื่องทุกขัง เรื่องอนิจจัง อนัตตา และอัตตา ซึ่งเป็นกองแห่งกิเลสสุมเต็มอยู่ในนั้น ให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นว่าเป็นตนเป็นตัวเหล่านี้ออกเสียได้ จิตจึงจะหลุดพ้นเป็นพระนิพพาน...

เช่นเดียวกับเราเดินก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นหนึ่ง สองขั้นขึ้นไป จนกระทั่งถึงที่สุดของบันได.. ก้าวเข้าสู่บ้านของเรา เมื่อก้าวเข้าสู่บ้านแล้ว บันไดก็เป็นบันได บ้านก็เป็นบ้าน จะให้บ้านกับบันไดมาเป็นอันเดียวกันไม่ได้ นี่คำว่าไตรลักษณ์ก็ดี อัตตาก็ดี นี่คือบันไดก้าวเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เมื่อพ้นจากนี้ ปล่อยนี้หมดแล้ว... จิตก็ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน เหมือนกับว่าเราก้าวเข้าสู่บ้านของเรา หมดปัญหากับบันได บันไดจึงจะกลายเป็นบ้านไปไม่ได้ บ้านจะมากลายเป็นบันไดไปไม่ได้ .. บ้านต้องเป็นบ้าน บันไดต้องเป็นบันได...
นิพพาน ไม่มีลักษณะ ถ้ามีรูปร่างขึ้นมาก็ต้องมีลักษณะ พระนิพพานไม่มีรูปมีร่าง เป็นนามธรรม แต่เป็นนามธรรมที่พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านตั้งชื่อขึ้นว่านิพพาน นี่ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเหมือนกัน ธรรมธาตุหลัก ธรรมชาตินั้นเป็นอันหนึ่ง อันนี้ตั้งชื่อขึ้นมา เมื่อตั้งชื่อขึ้นมานี้ก็แยกแยะไปขัดแย้งกันไปทั่ว ...


เราพูดย้ำตอนท้ายที่ว่า นิพพาน เป็นอัตตาหรืออนัตตานี้ เราต้องดูหัวใจของผู้ปฏิบัติ ผู้นี้ละ..เป็นผู้ตัดสินเอง จิตที่จะเป็นวิมุตติบริสุทธิ์เต็มที่นั่น จิตต้องปล่อย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ทั้งหมดเสียก่อน.. อันนี้เป็นสมมุติ ความหลุดพ้นนั้นเป็นวิมุตติ จิตต้องปล่อยนี้หมด สลัดนี้ออกแล้วจิตก็เป็นนิพพาน เพราะฉะนั้น คำว่านิพพานกับอัตตากับอนัตตา จึงเข้ากันไม่ได้ในภาคปฏิบัติ เรายันได้เลยในหัวใจหลวงตาบัว สามแดนโลกธาตุนี้ หลวงตาบัวไม่เคยหวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น.. เพราะเป็นสมมุติ จิตดวงนี้เป็นวิมุตติเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรเข้ามาเอื้อมถึง เราจึงเอาจิตที่ไม่มีอะไรมาเอื้อมถึงนี้มาพิจารณา แยกออกไปให้สมมุติทั้งหลายได้พิจารณาได้ฟังกันบ้าง นี่คือผลแห่งการปฏิบัติตามพุทธศาสนา เห็นประจักษ์อยู่ที่ใจนี้...”

ความเคารพที่องค์หลวงตามีต่อพระอุปัชฌาย์ของท่านนั้น นอกจากจะแสดงออกด้วยการไปแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ ตามแต่พระอุปัชฌาย์จะบอกกล่าวมาแล้ว ท่านยังตอบแทนพระคุณด้วยการจัดแพทย์ชั้นหนึ่งจากโรงพยาบาลศิริราชมาถวายการรักษาอีกด้วย ซึ่งก็คือ ศ.นพ. อวย เกตุสิงห์ และ ศ.พญ. ม.ร.ว. ส่งศรี เกตุสิงห์ นั่นเอง เนื่องจากองค์หลวงตาเป็นพระอาจารย์กรรมฐานองค์แรกของ นพ. อวย เกตุสิงห์ ท่านจึงได้ขอร้องให้คุณหมอทั้งสองรับภาระดูแลพระอุปัชฌาย์ ซึ่งอาพาธมาช้านานที่จังหวัดอุดรธานี จากนั้นคุณหมอจึงได้นำท่านเจ้าคุณมารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชต่อไป โดยปรนนิบัติรับใช้ท่านเจ้าคุณทุกวันมิได้ขาด จนกระทั่งหายและกลับจังหวัดอุดรธานีได้

และด้วยเหตุนี้ ภายหลังท่านเจ้าคุณจึงได้แนะนำให้ ม.ร.ว. ส่งศรี เดินทางไปวัดป่าบ้านตาด โดยเมตตาอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ เพราะสมัยนั้นการเดินทางยังยากลำบากอยู่มาก หลังจากนั้นคุณหมอทั้งสองจึงรวบรวมคณะได้ ๗ คน และนัดหมายกับท่านเจ้าคุณเดินทางไปวัดป่าบ้านตาดตามความประสงค์ต่อไป การทัวร์วัดป่าบ้านตาดในคร้งนี้ ถือเป็นการทัวร์ธรรมะวัดกรรมฐานคณะแรกเลยทีเดียวก็ว่าได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2020 เมื่อ 18:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน