ดูแบบคำตอบเดียว
  #7  
เก่า 02-03-2018, 18:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,079 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่เราจะชำระใจของเราให้ผ่องใสบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง แปลว่า เราต้องชำระสะสางกิเลสใหญ่ คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ให้หมดสิ้นไปจากใจของเรา ในเรื่องของ ราคะ โลภะ โทสะ พระองค์ท่านตรัสว่า สามารถระงับเอาไว้ได้ด้วยศีล เพราะว่าศีลทำให้เราไม่เป็นคนโหดร้าย มือไว ใจเร็ว พูดปด หมดสติ บุคคลที่ศีลถึงพร้อมนั้น จะต้องมีสติสมบูรณ์บริบูรณ์ บุคคลที่มีสติสมบูรณ์บริบูรณ์จึงจะระมัดระวังรักษาศีลได้ครบถ้วนทุกสิกขาบท

เมื่อท่านทั้งหลายตั้งใจระมัดระวังรักษาศีลได้ครบถ้วนทุกสิกขาบท จิตใจจดจ่ออยู่กับศีล เรื่องของราคะ โลภะ โทสะ ก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ หรือว่าถ้าเกิดขึ้นมาก็จะมีศีลเป็นกรอบบังคับไว้ไม่ให้เราล่วงศีล อย่างเช่นว่าในเรื่องของราคะเกิดขึ้น ถ้าหากว่าเป็นศีลห้า เราก็จะไม่ล่วงประเวณี คือผิดลูกผิดเมียคนอื่น ถ้าหากว่าศีลแปด ก็ไม่แตะต้องเพศตรงข้ามเสียเลย

ในเรื่องของโทสะนั้น ถ้าเกิดขึ้นเราก็มีศีลคอยบังคับอยู่ ไม่ให้เราฆ่าใคร ไม่ให้เราทำร้ายใคร เป็นต้น ในส่วนของโมหะนั้น พระองค์ท่านมีสมาธิและปัญญาในการกำจัดโมหะให้แก่พวกเรา

ในเมื่อเรามีศีลเป็นพื้นฐานแล้ว การที่เราตั้งสติระมัดระวังอยู่ไม่ให้ศีลบกพร่อง เป็นการสร้างสมาธิให้เกิดขึ้นแก่เรา หลังจากนั้นเรายังมีการเพิ่มเติมสมาธิด้วยการที่มาปฏิบัติในอานาปานสติ ก็คือตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา เพื่อทำให้กำลังใจของเราตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันธรรมเฉพาะหน้า ไม่ไปในอดีต และไม่ไปในอนาคต ก็จะทำให้สภาพจิตของเรานั้นผ่องใส เพราะว่ากิเลสไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ ในเมื่อกิเลสใหม่เกิดขึ้นไม่ได้ กิเลสเก่าได้รับการขัดเกลาเบาบางลงไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดสภาพจิตของเราก็จะผ่องใสมากขึ้น ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2018 เมื่อ 20:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา