ในส่วนของบารมี ๑๐ นั้น เริ่มตั้งแต่ทานบารมี การให้ทาน ศีลบารมี การรักษาศีล เนกขัมมบารมี การถือศีล ๘ หรือว่าปฏิบัติธรรมในลักษณะของการถือพรหมจรรย์อยู่คนเดียว ปัญญาบารมี คือการที่เรามีปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงตามสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนมา แล้วสภาพจิตยอมรับตามนั้น วิริยบารมี คือความพากเพียร บากบั่น ไม่ท้อถอย ไปไม่ถึงจุดหมายไม่เลิกอย่างเด็ดขาด ขันติบารมี คือความอดทน อดกลั้น จนกว่าจะบรรลุถึงผลที่เราต้องการ
สัจจบารมี คือความตั้งใจจริง แน่วแน่ไม่แปรผัน อธิษฐานบารมี คือการที่เรากำหนดใจมั่น ว่าต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อที่จะได้เป็นเป้าหมายในการที่เราจะมุ่งตรงไปในจุดนั้น ๆ เมตตาบารมี คือการรักเขาเสมอด้วยตัวเรา เอาใจเขามาใส่ใจเรา เราไม่ชอบสิ่งใดก็อย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น เราชอบสิ่งใดให้ทำสิ่งนั้นกับคนอื่น อุเบกขาบารมี คือการที่เรารู้จักปล่อยวาง โดยเฉพาะการปล่อยวางในกายสังขารนี้ ไม่ไปยึดถือมั่นหมายมากมายนัก รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วว่าร่างกายสักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว
ในส่วนของบารมี ๑๐ นั้น เรามีหน้าที่ทำให้เต็ม ทบทวนอยู่บ่อย ๆ ว่าข้อไหนบกพร่อง แล้วก็พยายามเสริมสร้างให้เต็มขึ้นมา แต่ในส่วนของสังโยชน์ ๑๐ นั้น เราต้องตัด ต้องละให้ได้ ซึ่งตัวสำคัญที่สุด ก็คือ สักกายทิฐิ ความยึดถือมั่นหมายว่า ร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา เพราะว่าถ้าไปยึดถือมั่นหมายเมื่อไร ก็แปลว่าอวิชชาซึ่งเป็นสังโยชน์ตัวสุดท้าย ครอบงำเราอยู่เต็ม ๆ และขณะเดียว ตัวรูปราคะคือการยินดีในรูป ก็เข้าครอบงำเราอยู่เต็ม ๆ เพราะไปยึดถือร่างกายที่เป็นรูปและนามประกอบกันขึ้นมา ตัวมานะก็จะเกิดขึ้น เพราะไปยึดมั่นถือมั่น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2016 เมื่อ 18:00
|