ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 20-10-2018, 19:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,327 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถามว่าจะใช้กสิณในพุทธานุสติตรงนี้อย่างไร ? อาโลกกสิณนั้นมีอานิสงส์พิเศษคือ สร้างทิพจักขุญาณให้เกิด เราเห็นภาพพระได้ชัดเจนแจ่มใสเท่าไร เราก็สามารถเห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเจนแจ่มใสเท่านั้น เมื่อเห็นชัดเจนแจ่มใส จัดเป็นทิพจักขุญาณแล้ว ญาณอื่น ๆ ก็ขึ้นอยู่กับการใช้

เราใช้ทิพจักขุญานไปดูอดีต เรียกว่า อตีตังสญาณ ดูอนาคตเรียกว่า อนาคตังสญาณ ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในปัจจุบันนี้ เรียกว่า ปัจจุปปันนังสญาณ ใช้ในการระลึกชาติเรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ กำหนดรู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน และตายแล้วไปไหน เรียกว่า จุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ทำกรรมอะไรไว้ ถึงวาระ ถึงเวลาต้องได้รับกรรมดีกรรมชั่วอย่างไร เรียกว่า ยถากัมมุตาญาณ และท้ายที่สุดถ้าสามารถชำระจิตให้ปราศจากกิเลสได้ เรียกว่า อาสวักขยญาณ

สรุปว่าสิ่งที่เราอดทนทำมา จะเนิ่นนานเท่าไรก็ตาม ถ้าทำได้จะคุ้มค่าอย่างยิ่ง สิ่งที่ต้องการรู้เราจะได้รู้ สิ่งที่ต้องการเห็นเราจะได้เห็น และเมื่อได้พื้นฐานกสิณกองหนึ่งแล้ว อีก ๙ กองที่เหลือก็เป็นเรื่องง่าย แค่เปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการกำหนดเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้าหากว่าใครยังไม่มั่นใจว่าจะจับกรรมฐานกองไหน อาศัยที่พวกเราทำกันมานานแล้ว มีพื้นฐานเพียงพอแล้ว ก็ขอแนะนำให้เราใช้อานาปานสติ ควบกับพุทธานุสติ ให้เป็นกสิณในอาโลกกสิณ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2018 เมื่อ 20:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา