ช่วงบ่ายภายในวันเดียวกันหลวงพ่อได้อ่านหนังสือให้ฟังว่า
"ในสังยุตตนิกาย นิทานวรรค พระพุทธเจ้าตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลีว่า
ภิกษุทั้งหลาย ในบัดนี้ภิกษุทั้งหลายมีท่อนไม้เป็นหมอนหนุน อยู่อย่างไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ในชั้นความเพียรที่เป็นหลักเป็นประธาน มารผู้ใจบาปจึงหาช่องทางทำลายล้างมิได้ หาโอกาสทำตามอำเภอใจแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลยืดยาวในอนาคตนั้น ภิกษุทั้งหลายจะทำตนเป็นสุขุมาลชาติ มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนิ่ม จักสำเร็จการนอนบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม มีหมอนใหญ่ ๆ ไว้หนุน นอนจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น คราวนั้นมารผู้ใจบาปก็จักได้ช่องทำลายล้าง จักได้โอกาสที่ทำตามอำเภอใจ แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น
ภิกษุทั้งหลายด้วยเหตุนี้ พวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจว่า เราทั้งหลายจักใช้ท่อนไม้เป็นหมอนหนุน จักกินอยู่อย่างไม่ประมาท จักมีความเพียรเผากิเลสในชั้นความเพียรที่เป็นหลักเป็นประธานดังนี้"
แล้วท่านก็กล่าวว่า "จำเอาไว้ว่าถ้าไม่ยอมลำบากนี่ตายเร็ว สังเกตไหมคนที่มีความทุกข์มาก ๆ จะอายุยืน มันเหมือนกับว่าเขาถูกความทุกข์คอยกระหน่ำรุมเร้าอยู่ จนกระทั่งพลังชีวิตมันกล้าแข็งกว่าคนทั่วไป ก็เลยอายุยืน เพราะฉะนั้นเราเองถ้าอยากได้ดีต้องยอมทนลำบาก"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-11-2009 เมื่อ 12:29
|