อีกส่วนหนึ่งก็คือ อย่าไปสนใจในจริยาผู้อื่น การสนใจในจริยาผู้อื่นมีแต่จะสร้างความเศร้าหมองให้แก่ตัวเราเอง เพราะเรามักจะไปมองเขาในแง่จับผิด ว่าเขาทำไม่ดีอย่างนั้น เขาพูดไม่ดีอย่างนี้ อาการที่เราจะมองคนอื่นนั้น ถ้าจะมองให้เกิดประโยชน์ก็คือ มองว่าเขามีความบกพร่องต่อสิ่งใด ถ้าเราบกพร่องเช่นนั้นเราก็รีบนำมาแก้ไข เขามีความก้าวหน้าตรงไหนบ้าง เราต้องพยายามเลียนแบบและทำตามเขาให้ได้
ไม่ใช่ไปดูในลักษณะจ้องจับผิดคนอื่น ทำให้จิตประกอบไปด้วยวิหิงสาวิตก คือ ตรึกในการเบียดเบียนผู้อื่นอยู่เสมอ มีแต่สร้างความเศร้าหมองให้เกิดขึ้นกับใจของตนเอง หาประโยชน์ หาสาระอะไรไม่ได้
ในแต่ละวันเราควรจะใช้เวลาในการทบทวนดูว่า ศีลทุกข้อของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ถ้ามีข้อไหนบกพร่อง เราต้องรีบตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะรักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ในส่วนของสมาธิภาวนานั้น เราดูง่าย ๆ แค่ว่า มีนิวรณ์ ๕ กินใจเราได้หรือไม่ ? กำลังใจเราคล้อยตามไปในด้านของ รูปสวย เสียงเพราะ รสอร่อย กลิ่นหอม และสัมผัสระหว่างเพศหรือไม่ ?
มีความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทคนอื่นหรือไม่ ? มีความง่วงเหงาหาวนอนชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติหรือไม่ ? มีความฟุ้งซ่านรำคาญใจ จิตใจไม่สงบหรือไม่ ? และท้ายที่สุดมีความลังเลสงสัยในคุณความดีของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บ้างหรือไม่ ? ถ้ามีอยู่ก็รีบขับไล่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกไปจากใจ และระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามาได้อีก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2016 เมื่อ 16:45
|