ดูแบบคำตอบเดียว
  #127  
เก่า 23-08-2012, 09:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"รุ่นต่อจากหลวงปู่รอด วัดนายโรง ก็เป็นหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุเรียนต่อมา แล้วก็แยกสายออกมามีของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่บุญไปมาหาสู่กับหลวงปู่แขกและหลวงปู่รอด ก็น่าจะได้รับการถ่ายทอดวิชาไป เพราะทำมาจากตำราเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน ตามสายหลวงปู่บุญก็ถ่ายทอดต่อให้หลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่เพิ่มถ่ายทอดต่อให้หลวงปู่เจือ

ส่วนสายหลวงปู่แขกก็ถ่ายทอดมาถึง
หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดี จากหลวงปู่ม่วงแตกสายออกไปที่ใครบ้างก็ไม่ทราบ แต่ทางอ่างทองมีหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ท่านทำเบี้ยแก้ดังเหมือนกัน แต่ว่าเบี้ยแก้สายวัดโบสถ์เวลาเขย่าจะดังซ่า ๆ เหมือนกับมีทรายอยู่ข้างใน ไม่ทราบว่าท่านใส่ปรอทกรอไว้หรือเปล่า ?

ปรอทกรอคือปรอทที่เขาทำจนแข็งเป็นตัว แล้วตะไบเป็นผง ถ้าเป็นปรอทกรอนี่ถือว่าแน่กว่า เพราะต้องใช้น้ำปรอทเยอะกว่า น้ำปรอท ๑ บาท เวลาทำแข็งเป็นตัวแล้วอยู่ไม่ครบบาทหรอก ดังนั้น..ถ้าหากว่าใช้ปรอทกรอ ๑ บาท ต้องใช้น้ำปรอทมากเกินบาท

ฉะนั้น..จากภควะจั่นที่ขออำนาจพระผู้เป็นเจ้าของทางสายฮินดูมา ก็มาเสกด้วยพุทธคุณแบบไทย กลายเป็นเบี้ยแก้ สมัยก่อนลูกศิษย์หลวงปู่ม่วงที่เป็นผู้ชายมาขอเบี้ยแก้ ออกจากวัดแล้วเจอดีทุกราย พวกลูกศิษย์รุ่นพี่จะไปดักลอง ส่วนใหญ่จะฟันกบาลด้วยดาบ อาจจะเป็นคำสั่งหลวงปู่ก็ได้ ที่จะให้คนรับไปมั่นใจว่าของท่านดีจริง ก็เลยให้รุ่นพี่ไปลอง ส่วนใหญ่โดนเข้าไปเต็ม ๆ แล้วไม่เข้า เมื่อหนังเหนียวแบบนั้น คนที่รับไปก็ค่อยมั่นใจหน่อย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2012 เมื่อ 10:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา