ดูแบบคำตอบเดียว
  #113  
เก่า 18-09-2012, 11:45
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,889 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

กรรมฐานน้ำตาร่วง

องค์หลวงตากล่าวว่า เมื่อครั้งไปอยู่กับหลวงปู่มั่นนั้น จิตของท่านเคยคิดไปว่า องค์หลวงปู่มั่นจะสามารถทราบวาระจิตของท่านได้หรือไม่หนอ จากนั้นไม่นาน ท่านได้ขึ้นไปกราบพระประธานที่ศาลา เห็นหลวงปู่มั่นกำลังเย็บผ้าอยู่ จึงได้คลานเข้าไปเพื่อจะกราบขอโอกาสช่วยเย็บให้ ขณะนั้นเอง หลวงปู่มั่นแสดงอาการแปลกกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นมา โดยจ้องมองมาที่ท่านอย่างดุ ๆ พร้อมกับปัดมือห้าม แล้วพูดขึ้นว่า
“หืย! อย่ามายุ่ง”


ในตอนนั้นท่านคิดในใจว่า “โอ๊ย ตาย กู...ตาย...” และหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ท่านอาจารย์มั่นก็กล่าวต่อว่า
ธรรมดาการภาวนากรรมฐานก็ต้องดูหัวใจตัวเอง ดูหัวใจตัวเองมันคิดเรื่องอะไร ๆ ก็ต้องดูหัวใจตัวเองสิ..ผู้ภาวนา อันนี้จะให้คนอื่นมาดูให้ รู้ให้ กรรมฐานบ้าอะไร!


จึงเป็นอันรู้เหตุรู้ผลชัดเจนทันทีว่า ที่หลวงปู่มั่นแสดงปฏิกิริยาดังกล่าวขึ้นเช่นนี้ ก็เพราะความคิดสงสัยของท่านนั่นเอง คราวนี้ท่านถึงกับหมอบราบในใจอย่างสุดซึ้งว่า
“ยอมแล้ว ๆ คราวนี้ขออ่อน ขอยอมแล้ว”


หลังจากนั้น ท่านจึงได้กราบขอโอกาสเข้าช่วยเย็บผ้าอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้องค์ท่านก็ไม่ได้ดุหรือห้ามอะไรอีก เพราะทราบดีว่า ลูกศิษย์ผู้นี้ได้ยอมแล้วอย่างสนิทใจ

กล่าวถึงการบำเพ็ญภาวนาของท่าน โดยปกติธรรมดาท่านใช้เวลาในการนั่งสมาธิครั้งละ ๓ - ๔ ชั่วโมง ตอนกลางวันพอฉันจังหันเสร็จ ล้างบาตร เช็ดบาตรเรียบร้อยแล้ว เอาบาตรไปวางที่ร้านแล้วเข้าทางจงกรมเลย ท่านจะเดินจงกรมไปตลอดจนถึงเวลาประมาณ ๑๑ โมง เป็นอย่างน้อยหรือถึงเที่ยงวันแล้วจึงพัก เมื่อออกจากพักแล้วก็นั่งภาวนาอีกราว ๑ ชั่วโมง แล้วก็ลงเดินจงกรมอีก ท่านทำอย่างนั้นอยู่เป็นกิจวัตรประจำ

แม้ทำความเพียรเป็นประจำอยู่เช่นนี้ตลอดพรรษา แต่ภาวะจิตของท่านกลับมีแต่เจริญกับเสื่อมทางด้านสมาธิ ต่อมาเมื่อเห็นว่าอยู่กับหลวงปู่มั่นพอสมควร ท่านจึงอยากทดลองทำความเพียรโดยลำพังอย่างเต็มที่ดูบ้าง ว่าจะเกิดผลดีเพียงใด

ครั้นพอออกพรรษาแล้วจึงได้ทดลองขึ้นไปภาวนาบนหลังเขา เพื่อความสงบสงัดและทำความเพียรได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อออกวิเวกจริง ๆ แล้ว ความเพียรกลับไม่ค่อยได้ผลเลย ต้องล้มลุกคลุกคลานอย่างหนัก จนหลายครั้งทำให้ท่านรู้สึกท้ออกท้อใจ แต่ด้วยใจที่ “สู้ไม่ถอย” ทำให้ท่านสามารถผ่านภาวะเช่นนี้ไปได้ในเวลาต่อมา ดังนี้

“...เข้าไปอยู่ในป่าในเขา ตั้งใจจะไปฟัดกับกิเลสเอาให้เต็มเหนี่ยวละนะคราวนี้ หลีกจากครูบาอาจารย์ออกไปเข้าไปอยู่ในภูเขา ป่ามันสงบสงัด ป่าไม่มีเรื่องอะไร แต่หัวใจมันสร้างเรื่องขึ้นมาละซิ วุ่นอยู่กับเจ้าของคนเดียว เป็นบ้าอยู่คนเดียว


‘โอ๊ย...อย่างนี้จะอยู่คนเดียวได้ ‘ยังไง’ นี่หนีจากครูบาอาจารย์ไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว’

สู้มันไม่ได้จนน้ำตาร่วง ไม่ได้ลืมนะ ... น้ำตาร่วง โอ้โห...สู้มันไม่ได้ ตั้งสติพับล้มผล็อย ๆ ตั้งเพื่อล้ม ไม่ใช่ตั้งเพื่ออยู่ ตั้งต่อหน้าต่อตา..นี่มันล้มต่อหน้าต่อตาให้เห็น ปัดทีเดียวตก ๕ ทวีปโน่น สมมุติว่าเราต่อยเข้าไปนี่ มันปัดแขนเรานี่ตก ๕ ทวีป อำนาจแห่งความรุนแรงของกิเลสมันแรงขนาดนั้นนะ อยู่ในหัวใจนี่... ก็เราตั้งหน้าจะไปสู้ มีแต่กิเลสชัด ๆ เรามัน ‘ยังไง’ กัน ได้เคียดแค้น น้ำตาร่วง ไม่ลืมนะ

อันนั้นละเป็นสาเหตุให้เกิดความเคียดแค้น มุมานะที่จะฟัดกับกิเลสให้ได้ เราจึงกล้าพูดซิว่า ความเคียดแค้นนี่... ลงออกถึงกูถึงมึงทีเดียว ซัดกับกิเลสนี่ ฟังซิว่ากูมึง กูมึงในใจ ไม่ใช่กูมึงออกมาข้างนอก

‘มึง ‘ยังไง’ มึงต้องพัง วันหนึ่งกูจะเอาให้มึงพังแน่ ๆ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ... ‘ยังไง’ กูได้ที่แล้ว กูจะเอามึงเหมือนกัน ‘ยังไง’มึงต้องพัง มึงไม่พังวันนี้ มึงต้องพังวันหนึ่ง มึงไม่พังกูต้องพัง ต้องตายกัน


มาก็เอากันแหละ ซัดกันไม่ถอย... ต้องตายกัน ต่างคนต่างสู้กัน ไม่มีถอยกัน
‘เอ้า กิเลสกับเราเป็นคู่ต่อสู้กันนี้จนกระทั่งถึงวันตายไม่ให้เป็น เอาให้ตายด้วยกัน กิเลสไม่ตายเราก็ตายเท่านั้น’...


เหตุการณ์ในตอนนี้ ท่านเคยยกเอามาสอนพระว่า ตอนที่กองทัพกิเลสมีกำลังมากกว่านั้น ยังไม่สมควรที่จะอยู่คนเดียว ต้องเข้าหาครูบาอาจารย์ เพราะการอยู่กับครูบาอาจารย์ แม้จะยังไม่ก้าวหน้าอะไรแต่ก็เป็นที่อบอุ่นใจได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2012 เมื่อ 11:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา