พรรษาที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๘๓)
จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
==========================================================
พบเห็นสมณะผู้ประเสริฐ
ในระยะที่ท่านยังเรียนหนังสืออยู่นั้น กิตติศักดิ์ กิตติคุณของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต มิเคยได้จืดจางลงไปแม้แต่น้อย กลับยิ่งฟุ้งขจรขจายอย่างกว้างขวางมาจากจังหวัดเชียงใหม่ว่า ท่านเป็นพระสำคัญรูปหนึ่ง และส่วนมากผู้ที่มาเล่าเรื่องของหลวงปู่มั่นให้ฟังนั้น จะไม่เล่าธรรมชั้นอริยภูมิธรรมดา แต่จะเล่าถึงชั้นพระอรหันต์ภูมิทั้งนั้น ดังนี้
“ครูบาอาจารย์องค์ไหนที่เคยไปอยู่กับท่านมาแล้ว มาพูดเป็นเสียงเดียวกันหมด ไม่เป็นอื่นว่า ‘ท่านอาจารย์มั่นคือพระอริยบุคคล’ เราก็ยิ่งอยากจะทราบ ‘อริยบุคคลชั้นไหน ? มันก็หลายชั้นนี่นะ อริยบุคคล’
‘ก็อรหันต์นั่นแหละ’ 'ว่างี้’ เลย ‘อรหันตบุคคล’ 'ว่างี้’ มันก็ยิ่งซึ้งน่ะซี”
ท่านจึงมีความมั่นใจว่า “เมื่อเรียนจบตามคำสัตย์ที่ตั้งไว้แล้ว จะต้องพยายามออกปฏิบัติไปอยู่สำนักและศึกษาอบรมกับหลวงปู่มั่น เพื่อตัดข้อสงสัยที่ฝังใจอยู่นี้ออกไปให้จงได้”
โอกาสอำนวยให้ท่านเดินทางไปศึกษาปริยัติต่อที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเดินทางไปถึง เผอิญเป็นระยะเดียวกันกับที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (พระอุปัชฌาย์ขององค์หลวงตา) ได้อาราธนานิมนต์หลวงปู่มั่นด้วยตนเอง เพื่อขอให้ไปพักจำพรรษาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่มั่นเมตตารับนิมนต์นี้ จึงได้ออกเดินทางจากสถานที่วิเวกบนเขาในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อจะเข้าพักชั่วคราวอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงนั้นเช่นกัน
เหตุการณ์ก็บังเอิญเป็นระยะเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ท่านเดินทางไปถึง จึงมีโอกาสที่ได้เห็นหลวงปู่มั่น ดังนี้
“ท่านมาถึงก่อน ๒ วันหรือ ๓ วัน เราก็ไปถึง ท่านป่วยอยู่ที่บ้านป่าเปอะ* ท่านออกมาครั้งนั้น เพราะรับนิมนต์ท่านเจ้าคุณอุปัชฌายะของเรานี่เอง ท่านออกมาเพราะนัดกันแล้ว ว่าเดือนนั้น ๆ ระยะนั้น ๆ ให้มา ท่านก็ออกมา มีท่านอาจารย์อุ่น กับคุณนายทิพย์ภรรยาของผู้บังคับการตำรวจ ทุกวันนี้เรียกผู้กำกับ มานิมนต์ท่านอาจารย์อุ่นไปรับท่านมา...
พอเราได้ทราบว่า ท่านมาพักอยู่วัดเจดีย์หลวงเท่านั้นก็เกิดความยินดีเป็นล้นพ้น สอบถามจากพระว่า ‘ท่านไปบิณฑบาตสายไหน ?’ สอบถามได้ความว่า ‘เช้านี้ ท่านพระอาจารย์มั่นออกบิณฑบาตสายนี้และจะกลับมาทางเดิม’ ดังนี้ ก็ยิ่งเป็นเหตุให้มีความสนใจ ใคร่อยากจะพบเห็นท่านมากขึ้น แม้จะไม่ได้พบท่านซึ่ง ๆ หน้าก็ตาม เพียงขอให้ได้แอบมองท่านก็เป็นที่พอใจ
พอรุ่งสางเช้าวันใหม่ ก่อนที่ท่านจะออกบิณฑบาต เราก็รีบไปบิณฑบาตแต่เช้า แล้วกลับมาถึงกุฏิก็คอยสังเกตตามเส้นทางที่ท่านจะผ่านมา คอยจ้องดูอยู่ไม่นานนัก สักเดี๋ยวพระมาบอกว่า ‘มาแล้ว โน่น ๆ กำลังเข้ากำแพงวัด’
เราก็รีบเข้าไปในห้องเลย มันมีช่องอยู่ ยังไม่ลืมนะ ก็ได้เห็นท่านเดินผ่านมา แล้วจึงส่งสายตาสอดส่องดูท่านอย่างลับ ๆ ด้วยความหิวกระหาย ใคร่พบท่านมาเป็นเวลานานแสนนาน เมื่อได้เห็นองค์ท่านจริง ๆ ก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธาเลื่อมใสในองค์ท่านขึ้นอย่างเต็มที่...
ส่องดู ลักษณะของท่านเหมือนไก่ป่านะ คล่องแคล่ว ตาแหลมคม ท่านเดินมา เราก็ดู ... ฟังด้วยความสนใจ ดูด้วยความเลื่อมใส ‘นี่มันซึ้งจริง ๆ’ เราไม่ลืมนะ ... แต่ท่านจะเห็นเรา 'ยังไง’ ก็ไม่รู้ ...”
ขณะที่ส่องดูอยู่นั้น เกิดความรู้สึกเลื่อมใสในองค์ท่านขึ้นอย่างเต็มที่ ในขณะนั้นคิดในใจว่า
“เราไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้เห็นพระอรหันต์ในคราวนี้เองแล้ว”
ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครบอกว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ ในขณะที่ได้เห็นอยู่นั้น ท่านว่า
“ใจมันหยั่งลึกเชื่อแน่วแน่ลงไปอย่างนั้น พร้อมทั้งเกิดความปีติยินดีจนขนพองสยองเกล้าอย่างบอกไม่ถูก ทั้ง ๆ ที่องค์ท่านก็ไม่ได้.. ก็ไม่ได้มองเห็นเรา”
==========================================================
* บ้านป่าเปอะ ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่