ไปวัดนั้นวัดนี้เขาก็ทราบว่าเป็นวัดกรรมฐาน แต่เราบอกว่าไปดูหนังสือ ความจริงไปดูหนังสือใหญ่คือภาวนา ไม่ให้ใครทราบ มันหากเป็นอยู่ลึก ๆ ถ้าหากพูดออกมาหมู่เพื่อนขัดทันทีจึงไม่พูด เฉยดีกว่า เขาเป็นลิง เราก็เป็นลิง เขาเป็นอะไรก็เป็นกับเขาไป
คำว่า “ลิงค่างด้านปริยัติ” นั้นคือ กิริยาหยอกเล่นกันธรรมดา แต่ไม่ให้ผิดจากหลักธรรมหลักวินัย เราเรียนหนังสืออยู่ ใครมาดูถูกพระกรรมฐานไม่ได้นะ แต่ก็มีน้อยมากที่ปริยัติจะดูถูกพระกรรมฐาน ถ้าเขาพูดออกมาในเชิงดูถูกอะไร ๆ เอาแล้ว เรารักกรรมฐานรักอย่างนั้น แต่ส่วนมากท่านชมเชย ท่านปฏิบัติได้ เราปฏิบัติไม่ได้ แสดงว่ายอมตนชมเชย...”
ที่วัดป่าสาลวันแห่งนี้เอง ทำให้ท่านมีโอกาสได้พบและสนิทสนมกับหลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านได้บอกกับหลวงปู่คำดีในครั้งนั้นว่า
“พอจบจากการเรียนตามคำอธิษฐานแล้ว จะออกปฏิบัติเพียงเท่านั้น”
กาลเวลาผ่านมาหลายต่อหลายปี ท่านทั้งสองถึงได้มาพบกันอีก ครั้งนั้น หลวงปู่คำดีพูดด้วยความตื่นเต้นมากทีเดียวว่า
“โห ! ท่านมหา (บัว) ผมไม่ลืมนะ คำพูดท่านน่ะ ทำไมพูดมีความสัตย์ความจริงอย่างนี้ ตอนท่านไปเรียนหนังสืออยู่โคราชได้บอกกับผมไว้ว่า เมื่อเรียนจบตามความมุ่งหมายแล้ว จะออกปฏิบัติก็ออกปฏิบัติจริง ๆ”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2012 เมื่อ 09:28
|