อยากเป็น “พระอรหันต์” เท่านั้น
ท่านจำพรรษาที่วัดโยธานิมิตร ๒ พรรษา นอกจากตั้งใจอ่านหนังสือธรรมะแล้ว ยังได้ช่วยเหลืองานก่อสร้างศาลาท่านพระครูฯ อยู่บ้าง ดังนี้
“การก่อสร้าง.. ก่ออะไรก็มี ที่มาจำพรรษาที่วัดโยธานิมิตร หนองขอนกว้าง ๒ พรรษาแรกอยู่นี้ พอพูดอย่างนี้ก็ทำให้ระลึกถึงท่านพระครูฯ เหมือนกันนะ ท่านพระครูฯ เป็นเจ้าอาวาสวัด ทำให้คิดเหมือนกันนะ
เราได้ช่วยงานก่อสร้าง คือว่าเลื่อยไม้ ท่านพาไปเลื่อยไม้ในป่าแถว ๆ ใกล้นี้ ไม่อดนี่ ไม้แต่ก่อน.. อดอยากที่ไหน ท่านพาไปเลื่อยไม้มาสร้างศาลา เราก็ได้ช่วยท่านอยู่ปีหนึ่ง จำได้..ก่อสร้าง เรียกว่าเราได้ช่วยก่อสร้าง... ออกจากนั้นแล้วก็เตลิดเปิดเปิงจนกระทั่งป่านนี้”
เมื่อได้เรียนหนังสือตำรับตำราทางธรรม ธรรมะซึ่งเป็นของจริงอยู่แล้วกับนิสัยที่จริงจังของท่าน ก็รู้สึกว่าเข้ากันได้อย่างสนิทใจ ทำให้เกิดความซาบซึ้งอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้
“เมื่อเรียนธรรมะ ไปตรงไหนมันสะดุดใจเข้าไปเรื่อย ๆ โดยลำดับ นับตั้งแต่หนังสือธรรมะชื่อนวโกวาท นี่เป็นพื้นฐานแห่งการศึกษาเบื้องต้น จากนั้นก็อ่านพุทธประวัติ ทำให้เกิดความสลดสังเวช สงสารพระองค์ท่านในเวลาที่ทรงลำบาก ทรมานพระองค์ก่อนตรัสรู้ธรรม จนถึงกับน้ำตาร่วงไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งอ่านจบเกิดความสลดใจอย่างยิ่ง ในความพากเพียรของพระองค์ซึ่งเป็นกษัตริย์ทั้งองค์ ทรงสละราชสมบัติทรงออกผนวชเป็นคนขอทานล้วน ๆ ซึ่งสมัยนั้นไม่มีศาสนา คำว่าการให้ทานได้บุญอย่างนั้น การรักษาศีลได้บุญอย่างนี้ไม่เคยมี พระองค์ก็ต้องเป็นคนอนาถาและขอทานเขามาโดยตรง และฝึกอบรมพระองค์เต็มพระสติกำลังทุกวิถีทางเป็นเวลา ๖ ปี ถึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา
ในขณะที่อ่านประวัติของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้ธรรม รู้สึกอัศจรรย์อย่างยิ่งถึงกับน้ำตาร่วงเช่นเดียวกัน...”
แม้เมื่อได้อ่านประวัติพระสาวกอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านออกมาจากสกุลต่าง ๆ กัน ตั้งแต่พระราชามหากษัตริย์ มหาเศรษฐีกุฎุมพี พ่อค้า ประชาชน ตลอดคนธรรมดา ก็ยิ่งทำให้เกิดความซาบซึ้งใจ ดังนี้
“... องค์ไหนออกมาจากสกุลใด หลังจากได้รับพระโอวาทจากพระพุทธเจ้าแล้ว ต่างก็ได้บำเพ็ญในป่าในเขาอย่างเอาจริงเอาจัง เดี๋ยวองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์อยู่ที่นั้น องค์นั้นสำเร็จอยู่ในป่านั้น ในเขาลูกนั้น ในถ้ำนั้น ในทำเลนี้มีแต่ที่สงบสงัดก็เกิดความเลื่อมใสขึ้นมา ทำให้ใจหมุนติ้ว... เรื่องภายนอกก็ค่อยจืดไปจางไป...”
ท่านเล่าถึงความรู้สึกที่ค่อยแปรเปลี่ยนไป ๆ เช่นนี้ว่า
“... ทีแรกก็คิดจะไปสวรรค์ คิดจะไปพรหมโลก พออ่านประวัติสาวกมาก ๆ เข้า มันไม่อยากไปละซิ อยากไปนิพพาน สุดท้ายก็อยากไปแต่นิพพานอย่างเดียว อยากเป็นพระอรหันต์.. อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีเปอร์เซ็นต์อื่นเข้ามาเจือปนเลย ที่นี้จิตมันก็พุ่งลงตรงนั้น ลงช่องเดียว...”
ความตั้งใจเดิมว่าจะบวชเพียง ๒ พรรษาแล้วสึกหาลาเพศนั้นค่อยจืดจางลงไป ๆ ทุกขณะ กลับเพิ่มพูนความยินดีในเพศนักบวชมากเข้าไปทุกที เรื่องธรรมะก็รู้สึกดูดดื่มยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จิตใจก็เปลี่ยนแปลงไป
ด้วยเหตุนี้เอง ในระยะต่อมาท่านจึงได้ออกจากบ้านตาดไปศึกษาเล่าเรียนในที่ต่าง ๆ จนกระทั่งได้ตั้งสัจจาธิษฐานไว้เลยว่า
“เมื่อจบเปรียญ ๓ ประโยคแล้ว จะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไข เพราะอยากพ้นทุกข์เหลือกำลัง อยากเป็นพระอรหันต์นั่นเอง”