ถาม : เมื่อประมาณสองเดือนที่แล้ว ผมไปผ่าตัดเพราะว่าเป็นมะเร็งที่ตับ ตอนนั้นผมจับกายคตา และจับภาพพระไว้ ตอนที่ดมยาสลบภาพพระก็อยู่ จนเราสลบภาพพระก็หายไป ถ้าบังเอิญตายตอนนั้นจริง ๆ จะได้ไปที่ดี ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : เราตั้งใจจะไปที่ไหน เราจะได้ไปที่นั่น เหมือนกับเราตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ล่วงหน้าไว้ ต่อให้ช่วงนั้นขาดสติก็ไม่เป็นไร
ถาม : วันนั้นเหมือนกับไม่ห่วงอะไร แต่พออาการดีขึ้น เราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ?
ตอบ : จะเห็นว่าช่วงฉุกเฉินในชีวิตของเรา ความรู้สึกตอนนั้นเราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเราพร้อมที่จะไป ถ้ารู้จักสังเกตเราจะรู้ว่าต้นทุนที่เราสั่งสมมา ความจริงพอเพียงแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีเหตุก็รวมไม่ได้สักที เหมือนเราสะสมน้ำทีละหยด ๆ บางทีได้ครึ่งค่อนโอ่งแล้วแต่เราไม่รู้ จนกระทั่งมีเหตุให้ไปเปิดโอ่งดู เราถึงรู้ว่ามีน้ำตั้งเยอะ
ดังนั้น..สำหรับนักปฏิบัติแล้วถึงบอกว่าการเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นการทดสอบที่ดีที่สุด เขาถึงได้ไม่กลัวเรื่องเจ็บเรื่องป่วยกัน เพราะเขาอยากจะรู้ว่าตัวเองมีต้นทุนเท่าไร โดยเฉพาะในตอนช่วงนั้นกำลังใจเราปล่อยวางได้จริงหรือไม่จริง จะรู้ชัดมากเลย
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นนักปฏิบัติเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เขาไม่ได้กลัวเลย เพราะวัดต้นทุนตัวเองได้
ถาม : บางครั้งผมเดินภาวนาคาถาเงินล้านหรือนะมะพะธะ บางทีรู้สึกเหมือนขาลอย ๆ หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม เป็นอาการอะไรครับ ?
ตอบ : บางทีก็เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น เราต้องรู้จักสังเกตตัวเอง อาจจะสมาธิทรงตัวมากขึ้น แต่คราวนี้ว่าอยู่ในลักษณะปฐมฌานหยาบ จิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการทางร่ายกาย อาจมีลักษณะหน้ามืดหมดสติ แต่ถ้าหากว่าคุณนั่งอยู่ทุกอย่างจะรวมอยู่ข้างใน แต่คราวนี้คุณไปบังคับร่างกายให้เคลื่อนไหวด้วย ถึงเวลาตัวจะไป แต่ใจไม่ไปด้วย เพราะรวมไปแล้ว พอแยกออกจากกันก็เหมือนจะขาดสติไปเลย
ถาม : เราควรจะต้องอยู่กับการภาวนาให้มากใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ทั้งวันยิ่งดี
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2012 เมื่อ 17:36
|