๓
พระพุทธเจ้าบอกว่า เวลาเช้า-กลางวันไม่ต้อง ให้ท่องเฉพาะมื้อเย็น
ให้ท่องตอนที่พระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังจะเสวยคำสุดท้าย เมื่อพระองค์ได้สติ
จะวางข้าวคำสุดท้ายลง สมัยก่อนเขารับประทานด้วยมือใช่ไหม ให้ดึง
เอาถาดทองนั้นมา แล้วนับดูว่ามีข้าวกี่เมล็ด แล้วรุ่งขึ้นให้ลดข้าวสาร
จำนวนลงเท่านั้น ในมื้อเย็นมื้อเดียว แล้วทำอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ ทุกวัน
เท่ากับลดข้าวลงวันละคำเดียว
สุทัศนมาณพก็ไปทำอยู่แบบนั้น พอท่องคาถา พระเจ้าปเสนทิโกศล
ได้สติก็วางข้าวลง สุทัศนมาณพก็นำถาดทองออกไปข้างนอก ไปนับข้าวดู
ว่ามีกี่เม็ด รุ่งเช้าเคยตวงข้าว ๓ ทะนานก็ลดลงเหลือแค่นี้
๒ ทะนานก็ลดลงเหลือแค่นี้ ๑ ทะนานก็ลดลงเหลือแค่นี้ แล้วแต่ว่าเท่าไหร่
ก็ปรากฎว่า พอลดลงไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น ก็ไม่ทรมานมาก ก็แค่คำเดียว
วันละคำเดียว ร่างกายมันปรับทัน
พอเวลาผ่านไปหลายเดือน พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เริ่มเพรียวลง หุ่นดี
ในวันนั้นพอลูบพุงก็ 'อ้าว.. หายไปแล้ว' พระองค์ท่านก็ตรัสสรรเสริญ
พระพุทธเจ้าว่า
พระตถาคตเจ้า ทรงยังประโยชน์ให้ทั้งในกาลปัจจุบัน และอนาคตเบื้องหน้า
ไอ้คำว่า กาลปัจจุบันก็คือ ตอนนี้เห็นอยู่ว่าตอนนี้ผอมลง แล้วอนาคต
เบื้องหน้าเป็นอย่างไร ไอ้กำลังใจในการละความอยากในอาหาร มันเท่ากับ
กำลังใจที่ห้ามตัวเองไม่ให้ละเมิดศีล ถ้าเราห้ามปากตัวเอง ไม่ให้กินของชอบได้
ไอ้เรื่องห้ามตัวเองไม่ให้ไปทำผิดศีลนั้น กำลังใจมันเท่ากัน
|