พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนไปงานแต่งงานของโยม งานแต่งงานนี้เพื่อนเจ้าบ่าวก็ไม่มี เพื่อนเจ้าสาวก็ไม่มี มานึกว่าทำไมเป็นอย่างนั้น นึกมาได้หลายข้อ
ข้อที่หนึ่ง เขาไม่รู้ธรรมเนียม ถ้าเป็นข้อนี้อเนจอนาถมากเลย ธรรมเนียมเก่า ๆ ความสำคัญอยู่ที่เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาสภาพเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ดีสุดเท่าที่จะดีได้ เพราะฉะนั้น..เขาต้องเป็นคนที่รู้ธรรมเนียมมากกว่า รู้ว่าแต่ละขั้นตอนต้องทำอย่างไรบ้าง และขณะเดียวกันถ้าหากว่าจำเป็นก็ต้องแต่งหน้าให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้บ้าง เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ออกมาดูดี
ข้อที่สอง เขาหาเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่ได้ คนทั้งหมู่บ้านเขาหาเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่ได้ ก็อาจแปลว่าเขาไม่มีเพื่อนฝูงเลย หรือการคบหาไม่มีเลย
ส่วนข้อที่สาม อนาถกว่านั้นอีก อาจเป็นเพราะว่า เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวสวยและหล่อกว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาว เลยไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวจะมาขโมยซีน
แปลกดี..หลายต่อหลายเรื่อง เราดูตรงหน้าก็เห็นอะไรไปเรื่อย เห็นไปเรื่อยก็มานึกเปรียบเทียบไปเรื่อยว่า เขาไม่รู้ธรรมเนียมจริง ๆ เป็นที่น่าสงสารมาก เพราะพ่อเจ้าสาวมาสารภาพว่า ไม่รู้หรอกเรื่องนี้ พอถึงเวลางานแต่ง ก็ไปแค่ที่โต๊ะจีน ไม่ได้ดูบ้างเลยว่าเขาทำอย่างไรกันบ้าง
ตัวเองไม่รู้แล้วจะไปบอกลูกได้อย่างไร ในเมื่อปู่ย่าตายายไม่รู้ ไปบอกลูกบอกหลานไม่ได้ ลูกหลานก็ไปบอกลูกหลานของมันไม่ได้...ก็ไปกันใหญ่ ประเพณีไทยก็ถึงกาลวิบัติ..!"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-03-2011 เมื่อ 18:26
|