พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน การกล่าวเท็จพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เป็นอาบัติ เบาก็มี หนักก็มี นั่นเป็นเพราะอะไร
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ที่เป็นเช่นนี้เพราะเจตนา ความพยายาม และวัตถุที่ล่วงละเมิดมากน้อยต่างกัน
ถ้าเหตุทั้ง ๓ มาก ก็อาบัติหนัก ถ้าน้อย ก็อาบัติเบา (มุสาวาทครุลหุภาวปัญหา)
ม. ส่วนผู้ที่ต้องอาบัติปราชิกโดยไม่รู้สึก แต่ภายหลังมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะได้บรรลุมรรคผลหรือไม่
น. ขอถวายพระพร ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะผู้นั้นได้เพิกถอนเหตุที่จะบรรลุมรรคผลแล้ว
ม. พระคุณเจ้าเคยว่า ผู้รู้ว่าตนผิดย่อมมีจิตฟุ้งซ่าน ทำให้ไม่สามารถตั้งใจมั่นได้ ส่วนผู้ไม่รู้ก็ไม่น่าจะฟุ้งซ่าน
ดังนั้น ถ้าเขาผู้นั้นตั้งใจมั่นกับการปฏิบัติชอบ ก็น่าจะบรรลุมรรคผลได้ในที่สุด
น. ขอถวายพระพร พืชพันธุ์ที่บุคคลหว่านลงพื้นดินอันอุดมย่อมงอกงามขึ้นดีอยู่ แต่ถ้าหว่านพืชพันธุ์นั้นลงบนพื้นหิน พืชนั้นจะขึ้นหรือไม่
ม. จะขึ้นได้อย่างไรเล่า ก็หินไม่มีอาหารสำหรับเลี้ยงพืชพันธุ์นั้นให้งอกงามได้
น. ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ต้องอาบัติปราชิกก็เท่ากับสิ้นอาหารที่จะเลี้ยงมรรคผลให้เกิดขึ้น
ม. ไม่น่าจะใช่เช่นนั้น หากบุคคลผู้ต้องอาบัติปราชิกไม่สิ้นความพยายาม
น. ขอถวายพระพร ผู้ที่กลืนยาพิษโดยไม่รู้ จะตายหรือไม่
ม. ย่อมตายสิพระคุณเจ้า
น. การต้องอาบัติปราชิกก็เช่นกัน แม้ไม่รู้ตัว แต่โทษนั้นสาหัสถึงขั้นทำให้มิได้มรรคผล (อภิสมยันตรายกราชปัญหา)
ม. เข้าใจละ
|