ถาม : พระที่ออกมาเต้นโคโยตี้ ศีลท่านขาดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ท่านเครียดจากน้ำท่วม..อภัยให้ท่านเถอะ..! แต่ความจริงการกระทำประหนึ่งฆราวาส พระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติเอาไว้แล้ว
คราวนี้การกระทำประหนึ่งฆราวาส หมายรวมพระขับรถด้วย ที่เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามขับรถ เถียงแบบแม่นตำรา จึงต้องงัดข้อนี้ขึ้นมาว่า กระทำอาการประหนึ่งฆราวาสโดนอาบัติเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..เต้นโคโยตี้นี่ไม่ใช่ประหนึ่งฆราวาสเฉย ๆ ประหนึ่งฆราวาสสตรี แต่ท่านดันเป็นผู้ชาย..!
ถาม : อาบัติประเภทนี้ต้องไปเข้าปริวาสได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ อาบัติประเภทนี้แสดงคืนได้ เขาเลยไม่กลัว แต่ความจริงการปลงอาบัติเป็นการสารภาพผิด ว่าเราได้ทำผิดไปแล้ว ต่อไปนี้จะไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ อย่างนั้นอีก ก็เพื่อให้คนอื่นเป็นพยานว่าตัวเองจะไม่ทำชั่วอีก แต่เขาใช้วิธีว่าทำผิดแล้วก็แสดงอาบัติ คิดว่าพ้นจากโทษนั้น หารู้ไม่ว่าข้างล่างเขาไม่ได้ลบบัญชีหรอก ลงไปเมื่อไรก็โดน..!
เรื่องของพระศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บุคคลที่อยู่ในพระศาสนาจึงจำเป็นต้องมีสติปัญญามาก ๆ โดยเฉพาะสติสัมปชัญญะจะขาดไม่ได้เลย ต้องระลึกอยู่เสมอว่า บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว กิริยาอาการใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำกิริยาอาการนั้น ๆ
ท่านคงไม่มีสำนึกความเป็นนักบวช ก็เลยนึกอยากจะทำอะไรก็ทำกัน จะไปว่าท่านก็ไม่ค่อยได้หรอก เพราะว่าปัจจุบันบรรดานักบวชที่บวชเข้ามา มีเป็นจำนวนมากด้วยกันที่หมดทางไปแล้ว เมื่อหมดทางไปก็เลี้ยวเข้าวัด โดยเฉพาะจำนวนมากเลยที่สังคมภายนอก แม้กระทั่งครอบครัวเขาไม่ยอมรับ..ก็เข้าวัด หรือไม่พ่อแม่เอาไม่อยู่แล้วก็ยัดเข้าวัด ก็เลยเป็นเรื่องไม่แปลก ที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมีอาการของขึ้นเป็นระยะ ๆ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 15-02-2012 เมื่อ 02:53
|