๔๒. ใครกล่อม...?
“โยกเยกเอย...น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ หมาหางงอ กอดคอโยกเยก...”
“วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ มีตะโหนดอยู่เจ็ดต้น เจ้าขุนทองไปปล้น ป่านฉะนี้ไม่เห็นมา...ฯลฯ”
“เจ้านกกาเหว่าเอย...ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร คาบเอาข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อน...ฯลฯ”
ตัวอย่างที่ยกมา ท่านผู้อ่านคงทราบทันทีว่าเป็นเพลงกล่อมเด็ก ทุกภูมิภาคของเราต่างมีเพลงพื้นบ้านสำหรับกล่อมเด็กด้วยกันทั้งนั้น เนื้อร้องทำนองแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นนั้น ๆ ... สิ่งที่ควบคู่มากับเพลงกล่อมเด็ก ก็คือนิทานก่อนนอน ตั้งแต่งูเขียวกินตับตุ๊กแก หมาจิ้งจอกกินช้าง หนูกับราชสีห์ อึ่งอ่างกับวัว ฯลฯ สารพัดจะสรรหามาหลอก...เอ๊ย...มาเล่าให้ฟัง...
ในตอนที่อาตมายังเด็กอยู่ ไม่แก่งั่กกั้กอย่างทุกวันนี้ จำได้ว่ายามค่ำคืนของฤดูร้อน แม่จะพาลูก ๆ ออกมานั่งรับลมนอกบ้าน ชี้ให้ดูดวงดาว พลางเล่านิทานให้ฟัง...
"บนดวงจันทร์มีเทพธิดา งดงามโสภาอีกทั้งใจดี มีพรวิเศษสำหรับมอบให้แก่คนที่ขยันขันแข็ง และมีความกตัญญูต่อพ่อ – แม่ (นี่...สาระจากนิทานอยู่ตรงขยันกับกตัญญูนี่เอง) มีชายหนุ่มยอดกตัญญูผู้หนึ่ง อาศัยอยู่กับแม่ผู้ชราที่กระท่อมชายป่า มีอาชีพตัดฟืนไปขาย พอได้เงินมาก็ซื้ออาหารสำหรับแม่และตัวเอง มีฐานะยากจนมาก...
คืนหนึ่ง...ดวงจันทร์สว่างดังกลางวัน ชายหนุ่มคนขยันจึงลุกขึ้นตักน้ำ ตำข้าว และเข้าป่าตัดฟืนสำหรับนำไปขายวันรุ่งขึ้น พอเดือนตกก็กลับมานอนพัก...ครั้นรุ่งเช้าปรากฏว่า ข้าวของทุกอย่างที่เตรียมไว้เมื่อคืนกลับกลายเป็นทองคำไปหมด...
เทพธิดาจันทรานั่นเอง ที่เนรมิตของทุกอย่างให้กลายเป็นทอง ตอบสนองความขยันขันแข็งและกตัญญูของเขา ชายหนุ่มเลยกลายเป็นคนร่ำรวย เลี้ยงดูแม่อย่างมีความสุขสืบมา..."
ถ้านิทานจบแล้วลูก ๆ ยังไม่ยอมหลับ แม่ก็จะร้องเพลงชาวเขา (ซัวกอ) กล่อมลูกเนื้อเพลงมีว่า... “
ดวงเดือนสุกสกาว ดวงดาวใสสว่าง ขี่ม้าขาวข้ามสระกว้าง สระนั้นช่างลึกล้ำ... ฯลฯ” ร้องวนไปวนมาไม่กี่รอบ ลูก ๆ ก็นั่งคำนับกันอย่างซาบซึ้ง เท่านี้ก็แบกไปนอนได้...
พอโตขึ้นมาคืนไหนนอนไม่หลับ (คิดถึงแฟนมั้ง...?) อยากให้แม่ร้องเพลงกล่อมอีกก็เป็นไปไม่ได้ แม่แก่มากแล้ว ให้หนุนตักยังพอไหว จะเอาแรงที่ไหนมาร้องเพลงเล่าลูกเอ๋ย...? ร่างกายจิตใจเติบโตแข็งแกร่งขึ้นตามวัย ทำให้ค่อย ๆ ลืมเพลงกล่อมและตักแม่ไปเกือบหมดแล้ว ก็บังเอิญให้มีผู้มาช่วยทบทวนความจำให้อีกวาระหนึ่ง...
วันนั้น...หลังจากวิ่งรับใช้หลวงพ่อมาทั้งวัน พอมีโอกาสพักก็รีบนอนเอาแรง เพิ่งเอนตัวลงหลับตา ก็รู้สึกว่ากำลังหนุนอยู่บนตักใครคนหนึ่ง กลิ่นบุหงาแป้งร่ำ คุ้นเคยกระไรปานนั้น...! “ท่าน” ผู้นั้น เอาพัดโบกวีให้ รู้สึกเย็นชื่นใจบอกไม่ถูก หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เสียงสดใสไพเราะร้องเพลงกล่อมให้ด้วย เนื้อเพลงมีว่า... “
ศรีไพรเอย...ช่างงามสวยแท้ ห่มสไบแพร แลน่าชม คิ้วเจ้าก็ต่อ คอเจ้าก็กลม ช่างสวยสมจริงนะแม่ศรีเอย...” เนื้อเพลงมีอยู่เพียงเท่านี้เอง ร้องวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น
ใครหนอ...? จะลืมตาดูก็ไม่กล้า กลัวเป็นอย่างพี่ตุ๋ม (
คุณแสงเดือน พร้อมพันธุ์) คือลืมตาขึ้นมาปุ๊บ ทุกอย่างหายวับไปกับตาเสียดายแย่เลย... ความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย สบายอะไรเช่นนั้น เห็นภาพซ้อนขึ้นมา เป็นเด็กหญิงผมจุก นุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลลายทอง ใส่เสื้อลูกไม้สีขาว คาดเข็มขัดทองเส้นเบ้อเริ่ม หลับปุ๋ยอยู่บนตักแม่...
หลับไปนานเท่าไรไม่รู้ ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใส ทบทวนความทรงจำ แล้วบันทึกเนื้อเพลงไว้ “
กราบขอบพระคุณครับ “ท่านแม่” ที่เฝ้าตามสงเคราะห์ลูกตลอดมา...”
คุณพ่อ – คุณแม่ ต้องทุกข์ยากลำบากเพียงไหน กว่าจะเลี้ยงดูเราเติบใหญ่จนทุกวันนี้ เป็นพ่อ – แม่ แม้เพียงชาติเดียว ยังเฝ้าตามสงเคราะห์ตลอดมา...เราล่ะ...ทำอะไรให้ท่านชื่นใจบ้าง...?
๒ เมษายน ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ