คนที่โชคดีและโชคร้ายไปในตัวคือคุณสุดเฉลียว หลวงปู่ท่านมาบิณฑบาต แต่ท่านมาตอนบ่าย เดินเข้ามาในบ้าน โยมเพิ่งกินอาหารกลางวันไป ของใหม่ก็ไม่มี เหลือแต่ที่กินแล้ว จะบอกท่านก็อาย เลยบอกว่า “ฉันเป็นคริสต์ค่ะ”
หลวงปู่ท่านก็ไม่ว่าอะไร หันหลังเดินกลับ คุณสุดเฉลียวจึงเฉลียวใจขึ้นมาว่าพระอะไรสูงขนาดนี้ หัวค้ำเพดานเลย สงสัยแค่นั้นแหละ พอนึกสงสัยขึ้นมาก็เลยวิ่งตามไปดู บ้านคุณสุดเฉลียวเป็นตึกแถว มี ๖ ห้อง หน้าบ้านเป็นถนนใหญ่ เชื่อไหมว่าไม่มีใครเห็นพระเดินมา และไม่มีใครเห็นว่าท่านไป
ถาม : จริง ๆ ท่านตั้งใจจะสงเคราะห์เขาอยู่แล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..ต้องบอกว่าบุญมีแต่กรรมบัง
ถาม : ทำไมท่านต้องไปตอนบ่ายครับ เพราะถ้าจะว่าไปคนที่เขาเคร่งครัดในเรื่องกฎระเบียบ เขาก็จะไม่ให้ ?
ตอบ : นั่นยังดีนะ บางทีท่านบิณฑบาตตอนเย็น ไปบิณฑบาตแต่บาตรไม่มี ชาวบ้านก็ถามว่า “หลวงตา..แล้วจะใส่บาตรอย่างไรล่ะ?” ท่านก็คว้ากะละมังข้าวหมามา "ใส่นี่แหละ" ใส่ลงไปอะไรต่อมิอะไรท่านก็คลุก ๆ รวมกันแล้วก็ฉัน ฉันเสร็จให้พรท่านก็ไป ชาวบ้านก็งง แต่พอไปดูไม่เห็นข้าวปลาไม่แหว่งเลย ท่านฉันอย่างไรของท่านก็ไม่รู้ ที่เห็นต่อหน้าต่อตาท่านฉันหมดไปครึ่งค่อนกะละมัง
ตอนท่านไปวัดท่าซุงท่านไปในสภาพเป็นเณร อาตมาก็มองหาว่าพระสูง ๑ วา อยู่ที่ไหน หาไปเถอะ ไม่เจอหรอก ปรากฏว่าท่านมาแบบเณร หลวงพ่อวัดท่าซุงถามว่า ทำไมมาเป็นเณร ท่านบอกว่า “งานแกคนเยอะ ตัวใหญ่เดินลำบาก ตัวเล็กมุดง่ายดี”
ถาม : ท่านเก่งขนาดนี้ ตอนกรุงแตกท่านช่วยไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่หน้าที่ และถ้าไม่ใช่วาระกรรมเหตุการณ์ก็ไม่เป็นอย่างนั้น หน้าที่ของท่านก็คือตามเก็บบริวารให้หมด เรื่องอื่นไม่ใช่ทั้งนั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2011 เมื่อ 09:38
|