ในขณะที่พระอาจารย์กำลังลงน้ำมันพระพุทธรูปงาช้าง ท่านกล่าวว่า "คนที่มีงาช้างต้องดูแลรักษาให้เป็น ถ้าดูแลรักษาไม่เป็นแล้วงาจะพังเร็ว ถ้างาแห้งมาก ๆ แล้วมักจะกินตัว คำว่ากินตัวคือจะผุ ถ้าหากว่ามีน้ำมันหรือขี้ผึ้งคอยลงเอาไว้ มีโอกาสก็เช็ดไปเรื่อย เท่ากับว่าเราถวายเครื่องหอมเป็นพุทธบูชา
แต่น้ำมันนี้มีกลิ่นหอมแปลก ๆ พวกเราไม่เคยได้กลิ่นใช่ไหม ? เป็นน้ำมันทานาคา เป็นยาแก้สิวฝ้าของพม่า ไปพม่ามาหลายครั้งอาตมายังไม่เคยเจอคนพม่าเป็นสิวเลย มีโยมเขาเอามาลองทา เขาบอกว่าหน้าแห้งจนเป็นขุย เพราะเขาไม่เคยชิน
พระงาช้างองค์นี้อายุอย่างน้อยน่าจะ ๘๒ ปี เป็นฝีมือช่างหลวงสมัยรัชกาลที่ ๗ แต่น่าทึ่งตรงที่ว่างาชิ้นนี้ใหญ่จริง ๆ เพราะว่านี่เป็นแค่ซีกเดียวแล้วก็ตันด้วย ไม่ทราบว่าอีกซีกได้แกะเป็นพระอีกองค์หรือเปล่า ? ถ้าอยู่ ๆ ใครมีของโบราณที่หน้าตาเหมือนกันก็แปลว่าไปจากชิ้นนี้ ถ้าคนเขารู้คุณค่าเขาจะรักษาดีกว่านี้ นี่เขาปล่อยให้สลายไปตามธรรมชาติ
สาเหตุที่วัดท่าขนุนไม่กล้าทำอะไรมากเพราะรู้ว่าคนรุ่นหลังเขารักษาไม่ไหว ถ้าสร้างพิพิธภัณฑ์ทรงไทยเสร็จเรียบร้อย ก็อาจจะทำที่พักสำหรับญาติโยมสักชุดหนึ่งก็พอแล้ว ตอนนี้ที่พักพระก็เหลือเฟือแล้ว บางที ๔๐ กว่ารูป อย่างล้น ๆ เพราะกุฏิก็มีแค่ ๔๐ ห้อง แต่ทางด้านแม่ชีมีแค่ ๑๑ หลัง ถ้าใครชอบปฏิบัติก็จะให้พักอยู่เดี่ยว ๆ อย่างแม่ชีกุ๋ย แม่ชีเอ๋ ส่วนคนอื่นทั่วไปก็ให้พักรวมกัน"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2011 เมื่อ 17:22
|