"สมัยที่อาตมาอายุ ๔-๕ ขวบ พวกนกแร้งยังมีเยอะอยู่ อีแร้งจะมากินหมาเน่า พวกเราไม่มีอะไรจะเล่น จึงเอาไม้มาตีอีแร้ง แอบไปซุ่มดูอยู่ก่อน พออีแร้งลง ก่อนจะบินขึ้นได้จะต้องมีระยะวิ่งสำหรับออกตัวไกลมาก จะต้องวิ่งโหย่ง ๆ กระพือปีกไปเรื่อยจนกว่าจะลอยตัวได้ พวกเราก็เอาไม้ไล่ตีไปเรื่อย
บางคนร้ายกาจกว่านั้นอีก ไปขุดหัวกลอยมา เอาไปตำคั้นน้ำแล้วก็ไปราดพวกหมาแมวที่ตาย พอแร้งมากินก็เมากลอย บินไปไม่ได้ เราก็จะช่วยกันตี บาปกรรมจริง ๆ นกก็กำลังกินอยู่แท้ ๆ ไปกลั่นไปแกล้งเขาได้
มิน่าเล่า...ชาตินี้อาตมาเมากลอยไป ๒ รอบแล้ว เมาอาเจียนเป็นถังเลย ครั้งแรกเจอพร้อมกับทิดตู่ ตอนนั้นทิดตู่ยังเป็นเณรอยู่ อ้วกเป็นถังจริง ๆ เขาทำถั่วทอดกลอยใหม่ ๆ แล้วเขาทำไม่เป็น กินเข้าไปแล้วเมา ส่วนอีกครั้งหนึ่งรู้ทันเพราะระแวงอยู่แล้ว จึงเมาหน่อยเดียว ถึงว่าเวรกรรมพวกนี้ตามทันจริง ๆ ยังดีว่าระยะหลังนี่พวกอีแร้งไม่มีแล้ว ส่วนใหญ่หนีเข้าไปในป่าลึก ๆ เพราะว่าในเมืองไม่มีซากสัตว์ให้กิน
สมัยก่อนนี่ถ้าอีแร้งจับหลังคาบ้านใครเขาถือว่าซวยมาก ต้องทำบุญไล่ซวยกันเลย นิมนต์พระ ๙ รูปมาเจริญพุทธมนต์ คนเฒ่าคนแก่ท่านจะไปจุดธูป ปูผ้าขาวกราบขอร้อง “พ่อพญาหงส์ทอง พ่อมาจากไหนก็ไปทางนั้นเถิด”
ถาม : เขาเรียกอีแร้งว่า หงส์ทองหรือครับ ?
ตอบ : ต้องเรียกให้ไพเราะเป็นการแก้เคล็ด เหมือนที่เขาเรียกเหี้ยว่าตัวเงินตัวทอง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2011 เมื่อ 17:38
|