๔. “อย่าสนใจว่าใครเจริญพระกรรมฐานอย่างไร แล้วเป็นอย่างไร
ถ้าจักเอามาตรฐานก็เอาพระสูตรเป็นหลักในการปฏิบัติ ในนั้นไม่มีการผิดพลาด หากจิตฝืดให้ฟังเทปหรืออ่านหนังสือธรรมะช่วยแก้ไขจิตได้ เพราะการฟังธรรมะหรืออ่านหนังสือ พึงทำจิตให้สบาย ๆ มีอารมณ์เบา ๆ วางกังวลในร่างกายลงเสีย สุขภาพไม่ดีมันก็เป็นเรื่องของกาย เราห้ามมันไม่ได้ ได้แต่ให้ยารักษาโรคบรรเทาทุกขเวทนาไปตามแต่ที่จักทำได้ ถ้าหากวางกังวลนี้ลงไปได้ จิตจักเป็นสุขมาก”
๕. “วันนี้การปฏิบัติธรรมของเจ้า ยิ่งทำยิ่งแย่ลง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก นักปฏิบัติจักต้องประสบกับสภาวะอย่างนี้มีอยู่เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนปฏิบัติไปสักระยะหนึ่งก็เจอสภาพขันธมาร (ทุกข์ของกายหรือเวทนาของกาย) เข้ามาสอบจิต แล้วก็ต้องสอบตกก่อนทุกคน จึง
จักสอบผ่านไปได้ในภายหลัง อดทนเข้าไว้ รักษาอารมณ์ใจอย่าให้ท้อถอย พยายามใจเย็นสงบจิตสงบใจ ดูโอกาสเมื่อขันธมารเบาลง จิตโปร่งก็ค่อยเริ่มปฏิบัติอย่างตั้งใจเอาจริงต่อไป ในขณะที่ร่างกายมันไม่สบายอยู่นี่ ให้ปล่อยวางอารมณ์ตามอัธยาศัย ดูการเคลื่อนไหวของจิตไปตามใจของจิตบ้าง จิตจักได้เบา ระวังอย่าให้มันคิดชั่วก็แล้วกัน โดยเฉพาะเรื่องอารมณ์ห่วงงาน ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น
กรรมฐานก็เช่นกัน ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น อย่าให้ขาดทุน จักได้ไม่กังวลเช่นกัน อย่าทำอะไรให้มันเกินพอดี จักเหนื่อยเปล่า เพราะเป็นการเบียดเบียนกายกับจิตตนเองเกินไป ต้องพิจารณาให้รอบคอบแล้วหมั่นปรับปรุงตัวเองด้วย”
๖. “
ปฏิปทาใดพระอริยเจ้าปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ ก็ให้ทำตามปฏิปทานั้น ตรวจสอบจากพระไตรปิฎกดีที่สุด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทุกข้อสอนให้พ้นทุกข์หมด อย่าไปติงว่าพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรมบทไหนไม่ดี เพราะทุกหมวดทุกบทสอนให้พ้นทุกข์หมด ถ้าไปติงว่าไม่ดีเข้า แสดงว่าจิตได้เอากิเลสเข้าไปปรุงแต่งแล้ว ตนเองศึกษาไม่พอ มีความเข้าใจไม่ถ่องแท้ แล้วตีความเอาตามความเข้าใจอันเป็นกิเลสส่วนตน นั่นแหละ
เป็นการปรามาสพระธรรมโดยตรง โดยไม่รู้สึกตัวก็เป็นโทษทั้งสิ้น”
(ขอยกตัวอย่างสัก ๒ เรื่อง เรื่องแรกพระดังสำนักหนึ่งซึ่งความจริงยังไม่ใช่พระ เพราะศีลของท่านไม่ครบ แต่ศีล ๕ ยังไม่มี แล้วศีล ๒๒๗ ข้อจะมีได้อย่างไร เกือบทุกคนที่ไปเยี่ยมสำนักสงฆ์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น จะเห็นว่าท่านเลี้ยงปลาตู้ กักขังสัตว์เบียดเบียนสัตว์โดยตรง แล้วยังช้อนลูกน้ำให้ปลากินทุกวันด้วยตนเอง แสดงว่าเห็นลูกน้ำไม่มีชีวิต เป็นสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์ จึงได้ทำกรรมชั่วเช่นนั้น หรือตัดพระวินัยทิ้งไป ไม่สนใจในเรื่องศีลหรือไม่เชื่อเอาเลย เพราะสำนักนี้สอนว่าคนตายแล้วสูญ ไม่เชื่อว่ากฎของกรรมมีจริง พระนิพพานไม่มี นิพพานก็สูญ และที่สุดก็ว่า นรก-สวรรค์-พรหมไม่มี พรหม-เทวดา-นางฟ้ามีที่ไหน ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งสิ้น ขณะนี้ท่านตายไปแล้ว ท่านไม่เชื่อว่านรกมี จึงต้องตกนรกตามกรรมที่ตนทำไว้ตรงไปตรงมาตามกฎของกรรม ซึ่งเที่ยงเสมอและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย
เรื่องที่ ๒ สมมุติสงฆ์ซึ่งทางโลกสมมุติตั้งให้เป็นเจ้าคุณชั้นเทพ แล้วอาศัยอยู่ในวัดดังในกรุงเทพ พูด-คุยเก่งมากในทางโลก วันหนึ่งท่านออกทีวีได้อัดเทปไว้เป็นหลักฐาน ท่านคุยว่าท่านเป็นคณะกรรมการที่จะทำสังคายนาพระไตรปิฎก ท่านได้ศึกษาพระไตรปิฎกหมดแล้ว เห็นว่าหมวดฤทธิ์ทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว นำมาจาร (เขียน) ไว้ในพระไตรปิฎกนั้นเหลือเชื่อ ต้องตัดออกทิ้งไปให้หมด แล้วอธิบายยืดยาวโดยเอาตนเองเป็นมาตรฐานว่า ในเมื่อตนเองทำไม่ได้ คนอื่นก็ต้องทำไม่ได้เช่นกัน ก็น่าสงสารท่าน ตรงนี้ที่หลงตัวหลงตนขนาดนั้น เพราะปริยัติที่ท่านเรียนมาได้ถึง ป.ธ. ๙ เป็นพิษ คือเรียนแล้วไม่ได้นำมาปฏิบัติให้เกิดผล ปฏิเวธจึงไม่เกิดกับท่าน ขณะนี้ยังไม่ตายก็ต้องให้อภัยไว้ก่อน เพราะก่อนตายท่านอาจกลับใจได้แบบพระเทวทัต ซึ่งแม้จะกลับใจได้ขอขมาพระรัตนตรัย ขอขมาต่อพระพุทธองค์แล้วก็ตาม ก็ยังต้องลงอเวจีมหานรก (ขุม ๘) อยู่ดี แต่อยู่ไม่นานครบถึง ๑ กัปในรายนี้ก็เหมือนกัน
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com