๕. “แล้ว
ตัวภวตัณหาก็เช่นกัน ให้ตรวจสอบจิตดู อารมณ์เรายังฝืนกฎของกรรมหรือเปล่า ก็รู้ ๆ อยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ร่างกายของเราก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของไตรลักษณญาณ
ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่เสื่อม จิตมีบ้างไหมที่จักไม่ยอมรับความเสื่อม คนแก่ไม่ยอมรับว่าแก่ คนป่วยไม่ยอมรับว่าป่วย ของวัตถุธาตุ ทรัพย์สิน บ้าน โรงเรียน มันจำเป็นต้องเก่า ก็ไม่อยากให้มันเก่า นี่คืออารมณ์ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของภวตัณหา จักต้องดูให้รู้หน้าตาของมันด้วย”
๖. “มา
วิภวตัณหามีบ้างไหมที่จิตยังมีความทะยานอยาก อยากให้สิ่งที่สลายตัวไปแล้ว กลับคืนมา มีแน่ ๆ อย่างพวกเจ้าอยากให้ท่านฤๅษีที่ทิ้งขันธ์ ๕ ไปแล้ว ให้กลับคืนมา จุดนั้นยังเห็นได้ชัดมาก แล้วในบางครั้งคนที่รักหรือรู้จักก็ดี สัตว์ที่เคยเลี้ยงก็ดีตายไป จิตยังมีกังวล มีความกังขา เขาตายแล้วไปไหน คอยห่วงสอบสวนดู นี่ก็เป็นอารมณ์ของวิภวตัณหานะ ให้รู้ไว้ด้วย แม้กระทั่งจิตข้องอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอย่างนั้นดี อย่างนี้ไม่ดี ทั้ง ๆ ที่สภาวะเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วดับไป แต่จิตที่จดจำสภาวะนั้น ๆ มาฝังอยู่ในอารมณ์ ไม่รู้จักปล่อยวาง อย่างกามสัญญาเป็นต้น ก็เรียกว่าจิตตกอยู่ในวิภวตัณหา ทะยานอยากกลับไปสู่สภาวะนั้น ๆ อย่างเปรียบเทียบง่าย ๆ ติดในรสอร่อย ก็อยากจะกลับไปให้ได้บริโภคในรสอย่างนั้นอีก นี่เรียกว่า
วิภวตัณหา เป็นเหตุทำให้เกิดต่อภพต่อชาติไปอีก”
๗. “
ให้สอบอารมณ์ตามนี้อย่างรู้เท่าทันกิเลส แล้วจึงจักเข้าถึงจุดรู้เหตุของการเกิด คือสมุทัยหรือจิตที่วนติดอยู่ในตัณหา ๓ ประการนี้
แต่ในการที่บางครั้งเจ้าซื้อของบริโภคมามากเกินไป อย่างของกิน ซื้อด้วยความโลภ ว่าถูกดี ซื้อมามากก็บริโภคไม่ทัน ของเหล่านั้นอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ มันก็เสื่อมไปทุกขณะ มากเกินไปกินไม่ทันก็เกิดทุกข์ ของจักเสียไม่อยากทิ้ง จำใจกินเพราะเสียดาย ของเหล่านั้นก็เป็นพิษแก่ร่างกาย
อารมณ์นั้นก็คืออยากมี อยากได้เกินพอดี เกินความจำเป็นของร่างกาย เป็นกามตัณหา เป็นอารมณ์โลภเกินพอดีเป็นความทุกข์ นี่ก็ยกให้เห็นอีกจุดหนึ่ง แล้วจงหมั่นตรวจสอบจิตของตนอย่างนี้
จักมีผลให้ตัดกิเลสได้คือ ดับที่ต้นเหตุหรือสมุทัยที่ทำให้เกิดทุกข์อย่างแท้จริง”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com