ตัวธรรมแท้ ๆ ในพุทธศาสนาไม่มีการปรุงแต่ง (๒๕ พ.ย. ๒๕๓๘)
จากนั้นสมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ต่อให้ดังนี้
๑. “
ธรรมของตถาคตปฏิบัติเพื่อเข้าหาของจริง มิใช่ปฏิบัติเพื่อความไม่จริง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นอริยสัจ จริงที่สุด ก็คือจริงที่จิตใจของผู้ปฏิบัติยอมรับกฎของกรรม หรือพระธรรมนั้นตามความเป็นจริง นั่นแหละจึงจักเข้าถึงตัวธรรมแท้ ๆ ที่ไม่ปรุงแต่ง”
๒. “หลวงปู่ไวยก็ดี ท่านพระ...ก็ดี มีความเป็นพระ ให้เป็นต้นฉบับที่พวกเจ้าสามารถปฏิบัติตามได้ ไม่ว่าทางด้านตัดโกรธ-โลภ-หลง องค์หนึ่งบรรลุแล้ว อีกองค์หนึ่งกำลังก้าวไปสู่การบรรลุ ปฏิปทาของท่านเหล่านี้มีความเป็นพระสมบูรณ์ จึงสมควรจักเอามาเป็นแบบอย่างอย่างยิ่ง”
๓. “อย่าคิดว่าพวกเจ้าเป็นฆราวาสบวชไม่ได้
การบวชกาย วาจา ใจ อยู่ที่บวชด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยหลักจุลศีล (ศีล ๕) มัชฌิมศีล (ศีล ๘) มหาศีล (ศีลพระ ๒๒๗) ก็เช่นกัน มิใช่เอาแค่บวชห่มผ้าเหลืองถือเพศสมถะ จึงจักบวชได้ ซึ่งเรื่องนี้พวกเจ้าก็เข้าใจดีแล้ว”
๔. “
เรื่องของการปฏิบัติให้ศีลเข้าถึงใจ ก็คือพิจารณาจนกาย วาจา ใจเป็นศีลโดยอัตโนมัติ นั่นแหละถูกต้องแล้ว
จงอย่าทิ้งการพิจารณาศีล การพิจารณามิใช่สักแต่ว่ารู้แค่ตัวหนังสือ จักต้องรู้จักโทษของการละเมิดศีล และรู้จักคุณของการรักษาศีลด้วย”
๕. “การละเมิดศีล ๘ คือ ทำให้เกิดอารมณ์ราคะและปฏิฆะในรูป รส กลิ่น เสียง กายสัมผัส นี่เป็นโทษทำให้เกิดทั้งสิ้น แต่ถ้า
รักษาศีล ๘ ให้เป็นอธิศีล ศีล ๘ ก็จักมีคุณให้ออกจากกามคุณ ๕ คือ หมดอารมณ์ราคะและปฏิฆะในรูป รส กลิ่น เสียง กายสัมผัส จุดนี้เป็นคุณทำให้ไม่ต้องมาเกิดอีก หมดเพศตามที่หลวงปู่ไวยรับรอง เพราะ
ศีลอพรัมจริยานั้นเต็มกำลังอยู่ในจิตเป็นอัตโนมัติ รวมถึงเมื่อหมดอารมณ์ราคะและปฏิฆะ วาจาที่จักแสดงอารมณ์ไม่พอใจ หรือพอใจในกามคุณ ๕ ก็หมดไปด้วย สังโยชน์ ๔-๕ ก็หมดไปได้ที่ตรงนี้แหละ”
๖. “ทบทวนธรรมะที่หลวงปู่ไวยท่านให้เอาไว้ให้ดี แล้วจักเห็นคุณค่าของธรรมะของตถาคตเจ้าได้อย่างชัดเจน เช่น ถ้า
เข้าถึงศีลระดับใด จุลศีล, มัชฌิมศีล, มหาศีล เข้าได้ระดับไหน ในระดับนั้น ๆ ก็จักตัดกิเลสได้ตามลำดับของศีล กิเลสหยาบ-กลาง-ละเอียด มีศีลหรือสังโยชน์เป็นเครื่องวัดนี้มันตัวเดียวกัน อย่างที่เจ้าพิจารณาศีล ๘ เทียบเคียงกับราคะและปฏิฆะนั้นแหละ พิจารณาให้ถูกก็จักไม่มีอะไรจักไม่ถูก แต่เมื่อพิจารณาถูกแล้ว ก็พึงจักปฏิบัติให้ถูกด้วย มิฉะนั้นไม่ครบองค์ ๘ อย่างสมบูรณ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดของธรรมะ ต้องใช้ความสุขุมพิจารณาด้วย จึงจักเห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริง”
๗. “
ดูกายปฏิบัติถูกแล้ว วาจาปฏิบัติถูกหรือยัง จิตปฏิบัติถูกหรือยัง ดูการปฏิบัติให้พร้อมทั้ง ๓ ทาง เป็นสัมมาทิฐิ ทุกอย่างถ้าพร้อมก็มีความก้าวหน้าในมรรคผลปฏิบัติ ธรรมที่ได้ก็เป็นของจริง”
๘. “การพิจารณาถึงกรรมฐาน ๕ คือ เกศา-โลมา-นขา-ทันตา-ตะโจ (ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง) นั้นถูกต้องแล้ว
ให้พิจารณาเข้าหาความจริง คือ อริยสัจ หรือการพิจารณาเรื่องกุมารกำเนิดตั้งแต่การจุติในครรภ์มารดา อันเป็นต้นกำเนิดของความสกปรกนั้น นั่นแหละเป็นการเจริญพระกรรมฐานเข้าสู่ความเป็นจริง
หรือการพิจารณาแยกร่างกายนี้ออกเป็นธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ มีความสกปรกเป็นพื้นฐาน มีความเสื่อมเป็นที่ตั้ง มีความสลายตัวไปในที่สุด กรรมฐานจุดนี้อย่าทิ้ง ให้เจริญต่อไปอย่าให้สลายหรือเสื่อมลงไปจากกำลังวิปัสสนาญาณ ยิ่งเจริญได้มากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าถึงความจริงในเรื่องของกายและจิตมากเท่านั้น ทำไปบ่อย ๆ ด้วยอารมณ์เบา ๆ สบาย ๆ จนที่สุดจิตจักชินกลายเป็นฌาน เป็นอัตโนมัติได้ในที่สุด มรรคผลนิพพานก็เกิดได้ที่จุดนี้แหละ”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com