ดูแบบคำตอบเดียว
  #79  
เก่า 26-08-2011, 11:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างที่บอกว่าใช้ปัญญาในการพิจารณาตัด ก็คือ เราดูจากจุดนั้น เรายอมรับว่าจุดนั้นมีความรู้สึกอย่างไร และก็มองลงไป แล้วให้รู้สภาวะนั้นค่อย ๆ ดับลงไป ?
ตอบ : เอาอย่างนี้..ปัญญาที่เกิดขึ้นจริง ๆ จะรู้สาเหตุว่าความทุกข์นั้นเกิดจากอะไร แล้วก็จะไม่ทำเหตุอันนั้น (หยิบแก้วน้ำขึ้นมา) นี่คือแก้วน้ำ ถ้าหากว่าคนมีปัญญามอง จะหยุดอยู่แค่นั้น ก็สักแต่เป็นแก้วใบหนึ่ง ทำอะไรเราไม่ได้

แต่ถ้าคนที่ขาดปัญญามอง จิตจะเริ่มปรุงแต่งต่อว่า แก้วน้ำ..ใส่น้ำดื่มได้ ถ้าได้น้ำแช่เย็นสักหน่อยก็ดี นี่ออกไปทางโลภะแล้ว อยากมีอยากได้

วันนั้นไปกับสาว เขาสั่งน้ำปั่น นึกถึงสาวราคะเกิดอีกแล้ว วันนั้นเราแช่น้ำในตู้เย็นไว้ พรรคพวกกินจนหมดแล้วไม่เติมใหม่ เรากลับมาหิวแทบตาย ไม่มีน้ำเย็นกิน โทสะเกิดอีกแล้ว นี่แค่แก้วใบเดียว

ถ้าหากว่าปัญญาถึงก็จะเห็นเลยว่า แก้วนี้สักแต่ว่าเป็นธาตุ สักแต่ว่าเป็นรูป พอเห็นแล้วสภาพจิตจะหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ไปปรุงแต่งคิดต่อ รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดไม่ได้ ที่กิเลสเกิดเพราะเราไปคิดต่อ เปรียบเหมือนกับว่าเราซื้อก๋วยเตี๋ยวไว้ชามหนึ่ง เขาลวกเส้นเสร็จก็ใส่ชามมาให้ ไม่ได้ใส่เครื่องปรุง ไม่ได้เติมพริก ไม่ได้เติมน้ำปลา ไม่ได้เติมน้ำส้ม ไม่ได้เติมน้ำตาล เรากินไม่ลงหรอก เพราะจืดชืดไม่เป็นท่า

สภาพจิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ไปช่วยปรุงแต่ง ก็คือ ไม่ไปปรุงรสให้ จิตก็ไม่อยากที่จะรับอารมณ์นั้นต่อไป เพราะจืดชืดไม่เป็นท่า ก็จะปล่อยวางลงไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 15:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา