๗. “ต้นเหตุแห่งทุกข์ ใจเป็นผู้สร้างขึ้นเอง เพราะขาดการสำรวมอินทรีย์หรืออายตนะทั้งหก อะไรมากระทบหรือสัมผัสเข้า ไฟภายในก็ลุก เหมือนกับมีพระอาทิตย์เกิดขึ้นที่ใจ เป็นการเบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น และเป็นทั้งเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ขาดพรหมวิหาร ๔ อย่างชัดแจ้ง ต้นเหตุจริงก็เพราะลืมการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกหรืออานาปานุสติ ทำให้ขาดสติ-สัมปชัญญะตามลำดับ หากพวกเจ้าใคร่ครวญดี ๆ ก็จะพบกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุทั้งสิ้น หรือเป็นอริยสัจโดยตรง ทุกอย่างอยู่ที่ความเพียรของพวกเจ้าเอง ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก ผู้ชี้แนะเท่านั้น”
๘. “จงอย่ามุ่งเอาชนะผู้อื่น ให้มุ่งเอาชนะใจตนเอง ชนะกิเลสที่ตนเอง เราไม่สามารถจะห้ามคนชั่วไม่ให้ทำชั่วได้ฉันใด เราก็ควรจะหยุดจิต หยุดอารมณ์ของตนเองให้ได้ก่อน หาความชั่วที่จิตของเราให้ได้ก่อน จึงจะละความชั่วได้ และละที่จิตของเราเท่านั้น คนเราถ้าเอาจริงทำให้จริง ก็จักรู้จักคำว่าชนะ หากทำแม้ครั้งเดียววันต่อ ๆ ไปก็จักชนะมันได้ การปฏิบัติทั้งทางโลกและทางธรรมก็จักเจริญขึ้นได้สืบต่อไป ขอจงอย่าละความเพียรเสียอย่างเดียว การเผลอบ้างก็ต้องมีเป็นธรรมดา อย่าติตนว่าเลว ให้ลงตัวธรรมดา เพราะยังมิใช่พระอรหันต์”
๙. “ถ้าหากพวกเจ้าเข้าใจธรรมที่ตถาคตตรัสมาทั้งหมดนี้ได้ดีแล้ว ก็จักเห็นได้ว่าการกวาดวัด การช่วยทำความสะอาด เก็บขยะ การช่วยบำรุงรักษาซ่อมแซมวัตถุต่าง ๆ ในวัด โดยเอากายทำงานทางโลก แต่จิตอยู่กับพระธรรม คือ เอางานที่ตนทำนั้นมาพิจารณาให้เป็นพระกรรมฐาน ได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาในคราวเดียวกัน ทำทุกอย่างก็เพื่อพระนิพพานจุดเดียว เป็นผู้ไม่ประมาทในความตาย คิดเสมอว่าเราจักทำให้ดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย เพราะความตายเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง มีมรณาควบอุปสมานุสติไว้เป็นปกติ และมีกายคตานุสติควบอสุภะไปในตัว โดยไม่ลืมการกำหนดรู้ลมหายใจ (อานาปาฯ) เพื่อให้จิตสงบเป็นสุขอยู่เสมอ ผลที่เราได้รับจากกรรมหรือการกระทำของเรา เป็นการตัดได้ทั้งความโลภ-ความโกรธ-ความหลงไปในตัว เป็นการทำให้เกิดปัญญาตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ในที่สุด ก็คือการให้ธรรมทานกับจิตตนเองซึ่งชนะทานทั้งปวง จัดเป็นบุญสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นอภัยทานด้วย คืออภัยให้กับความชั่วของผู้อื่น เพื่อที่จักชนะความชั่วของตัวเราเองนั่นเอง ขอให้พวกเจ้าหมั่นทบทวนจุดนี้ให้ดี ๆ “
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-07-2011 เมื่อ 13:10
|