"...คนไทยก็มีความเอื้อเฟื้อมีเมตตา เราไปที่ไหนเราหิว เราเข้าไปในบ้านไหนก็ตาม เขาเห็นว่าเราหิว เขาจะไม่ถามว่ามีเงินกี่บาท มีเงินกี่ดอลลาร์ เขาให้กินเสียก่อน อันนี้เป็นสิ่งที่ได้ประสบมาแล้ว แม้คนที่จน แม้เขารู้ว่าเป็นใคร
นี่เป็นเรื่องตั้งแต่แรกเมื่อ ๒๕ ปีมาแล้ว ในภาคอีสาน เดินทางจากนครพนมไปกาฬสินธุ์ผ่านสกลนคร หยุดรถที่มีกลุ่มคนประมาณ ๒๐ คน ไม่ใช่ที่ที่จะเป็นที่น่าหยุด แต่หยุดรถไปถามเขาว่า "เอ๊ะ มาชุมนุม ๒๐ คนนี้ มาชุมนุมทำไม" บอกว่า "มาดูท่าน" ที่จริง"มาดูท่าน" หมายความว่าจะมาดูฝุ่นท่าน ไม่ใช่เรื่องที่จะมาบอกว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มาดูฝุ่นจริง ๆ รถผ่านก็มีฝุ่นทั้งถนนก็มาดู เราหยุดพอดี เขาก็ดีใจ ก็ถามเขาว่ามาจากไหน เขามานับดูแล้วเดินมา ๒๐ กิโลเมตร "มาดูท่าน"
ก็เลยบอกว่าเรามาจากนครพนมเราจะไปกาฬสินธุ์ เขาบอกว่า"โอ้ไกล" เขาก็ควักเอาห่อหนึ่งห่อมาให้ บอกอาหาร "ท่านไปไกลต้องมีอาหาร" นี้เอื้อเฟื้อ
เขาก็เรียกว่าคนจนเขาก็เอื้อเฟื้อ เขาไม่ได้คิดบัญชีว่าวันนี้เอาอาหารมาให้ต้องเสียเงินเท่านั้น ๆ บาท จะต้องไปบอกทางอำเภอ บอกว่านี่ได้ให้อาหารพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นบาท ขอลดภาษีนะ ไม่ใช่ เขาไม่คิดอะไรเลย เลยถามเขาว่า เขามาไกล เขาเอาอาหารมาให้อย่างนี้ เดี๋ยวเขาก็ไม่มี เขาบอกว่าไม่เป็นไรเฮามีเหมือนกัน เขาก็ควักมาอีกห่อหนึ่ง ห่อเล็ก ๆ เขาให้มาห่อหนึ่งแบ่งกัน อันนี้เขาไม่ทำบัญชีอะไรเลย
อีกแห่งหนึ่งมีคนเอาถั่วฝักยาวมาให้ ไปถึงที่มหาสารคามก็เอาไปผัด คนก็แปลกใจ ทำไมชาวบ้านเอาของมาให้ พระเจ้าอยู่หัวผัดถั่วฝักยาวรับประทาน นี่เป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นคนไทย ภาคอีสานมีชื่อเสียงว่าเป็นภาคที่จน แต่คนมีความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน อย่างนี้เราก็ต้องทำงานแบบเดียวกัน ต้องเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน
เรามีความรู้มาก เรามีเทคโนโลยี่สูง ก็ต้องช่วยกันให้ชาวบ้านเขาได้รับส่วนของเทคโนโลยี่นี้ด้วย ชาวบ้านเขาจนนั่นเอง เขาก็ไม่สามารถตอบแทนด้วยทรัพย์ ด้วยเงินให้คุ้มกับงบประมาณ แต่เขาตอบแทนด้วยน้ำใจ และที่สำคัญที่สุดจะตอบแทนด้วยการรักษาความสงบร่วมกัน ประเทศชาติก็จะอยู่ได้..."
|