ที่ผมยกเอาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จองค์ปฐม และสมเด็จองค์ปัจจุบันมาอ้าง ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ตรวจสอบอารมณ์จิตของตนเองว่า ในปัจจุบันนี้เราเป็นหนูประเภทไหนกัน ส่วนตัวผมมีความเห็นว่ามีทั้ง ๓ ประเภทแรก คือ ประเภทแรกได้ขุด แต่มิได้อยู่ มีมาก เพราะได้รับพระธรรมคำสั่งสอนจากหลวงพ่อฤๅษีโดยตรงและโดยอ้อมจากหนังสือและเทปคำสอนของท่านมากมาย บวกกับมีการสนทนาธรรมเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นกันอีก ๑๖ ปีแล้ว แต่ก็ยังขี้เกียจปฏิบัติเพื่อให้เกิดมรรคผลนิพพาน มรรคนั้นรู้แสนที่จะรู้ (ปริยัติ) แต่ยังไม่ยอมปฏิบัติให้เกิดผล หรือปฏิบัติแบบถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง มิได้เอาจริง จัดว่าเป็นผู้ประมาทในชีวิต เท่ากับประมาทในพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ บท
หนูประเภทที่ ๒ มิได้ขุดแต่ได้อยู่ อย่างที่องค์สมเด็จทรงตรัสไว้แล้วเรื่องชาวนา ชาวสวน ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน จัดว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต
หนูประเภทที่ ๓ ได้ขุดด้วยและได้อยู่ด้วย ส่วนตัวผมเห็นว่ามีน้อย หาได้ยากเต็มที
หนูประเภทที่ ๔ เป็นพวกไม่ศรัทธาในพระองค์ พระองค์จึงไม่โปรดสอนพวกนี้ ก็จงอย่าไปสนใจ ให้ระวังอารมณ์จิตของเราเอาไว้ให้ดี ๆ อย่าให้มันเผลอหลุดเข้าไปอยู่ในหนูประเภทที่ ๔ แล้วกัน
สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสว่า การบวชใจนั้นบวชได้ทุกคน ไม่จำกัดทั้งเพศและวัย อายุตั้งแต่ ๗ ขวบ ก็บวชใจได้ทุกคนและบวชใจแล้วปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา หากตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการได้ขาด ก็เป็นพระอรหันต์ได้
แต่การบวชกายนั้นมีได้แต่เฉพาะบางท่านเท่านั้นที่โอกาสอำนวย มีพร้อมทั้งกายและครอบครัวด้วย จัดเป็นหนูประเภทที่ ๓ สำหรับพวกที่โอกาสไม่ได้อำนวย เช่น คุณหมอ และพวกที่เป็นทั้งเพศชายและหญิงโอกาสไม่อำนวยให้บวชกายได้ แต่ก็นับว่าโชคดีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้พบท่านฤๅษีเป็นครูบาอาจารย์ สอนให้ทั้งปริยัติและปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ให้เป็นหนูประเภทที่ ๓ คือได้ขุดด้วยและได้อยู่ด้วย ที่ยังเอาดีกันไม่ได้ อยู่ที่ขาดความเพียรนะ ควรจักพิจารณาตนเองว่าเราเป็นหนูประเภทไหนกัน อยากไปพระนิพพานก็ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อสู่พระนิพพานด้วย อยากแต่ไม่ยอมปฏิบัติไปพระนิพพานไม่ได้