เรื่องทั้งหลายเหล่านี้รุมเร้าอยู่รอบตัวของเรา ยิ่งเกิดขึ้นมากเท่าไร เราก็ยิ่งต้องวิ่งเข้าหา ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากขึ้นเท่านั้น จึงจะพอสมน้ำสมเนื้อ พอที่จะคานกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในด้านไม่ดีได้
ถ้าเรารักษากำลังใจของเราอยู่ในด้านดี อยู่ในศีล ในสมาธิ ในปัญญาได้ ตัวเราจะสามารถเอาตัวรอดได้ก่อนเป็นอันดับแรก ในส่วนต่อไปก็คือว่า เราจะเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ถ้าหากว่าสามารถทำจนถึงระดับเป็นที่พึ่งของคนหมู่มากได้ก็ยิ่งดี อย่าคิดว่าเราแค่ไม่กี่คน ทำไปแล้วจะช่วยเหลือคนส่วนใหญ่เป็นแสนเป็นล้านได้อย่างไร ?
ขอบอกว่าความดีนั้น โดยเฉพาะความดีในศีล สมาธิ ปัญญา เป็นความดีที่มีอานิสงส์หรืออานุภาพที่สูงมาก เปรียบไปเหมือนสิ่งเล็กที่มีความเย็นสูงมาก เมื่อนำเข้าไปในแหล่งความร้อน ก็สามารถที่จะสะกดหรือระงับยับยั้งความร้อนทั้งหลายเหล่านั้นให้ผ่อนคลายลง หรือถ้าหากว่าความร้อนนั้นมีน้อย อาจจะถึงกับสลายตัวไปเลยก็ได้
ดังนั้น..พวกเราทั้งหลายที่ปฏิบัติกันอยู่นี้ อันดับแรก นอกจากสร้างความสงบให้เกิดแก่ตนเอง จะได้มีปัญญาเพื่อนำไปใช้ในการตัดกิเลสแล้ว เรายังสามารถสร้างความสงบสุขให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น ๆ เนื่องจากว่ากำลังที่ไม่ดีมีมาก เราก็ต้องเร่งสร้างกำลังความดีให้มากตามไปด้วย จึงพอที่จะทดแทนกันได้
โดยเฉพาะว่ากำลังของสมาธินั้น คือตัวเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพร่างกายและจิตใจที่มากที่สุด ถ้าหากว่าใครสามารถรักษาตัวสมาธิภาวนา ให้ทรงตัวได้ต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตนได้อย่างชัดเจน คือจะมีความสงบกาย สงบวาจา สงบใจ มีกำลังในการระงับยับยั้งจิตใจของตนเอง ไม่ให้ไหลไปในทางที่ต่ำ จะไม่ตกเป็นทาสของรัก โลภ โกรธ หลงได้ง่าย ๆ อีก
ถ้าหากว่ากำลังเพียงพอก็สามารถที่จะฉุดรั้งจิตใจของตนให้หลุดพ้นจากอำนาจของรัก โลภ โกรธ หลง ได้ จึงเป็นเรื่องที่พวกเราทุกคน จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติในเรื่องของสมาธิภาวนาให้มากเข้าไว้ จึงจะสมกับเจตนาในการที่สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา เพื่อให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพวกเราทั้งหลาย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 01:57
|