และขณะเดียวกัน เราเองเมื่อทำงานไปแล้ว มีการประเมินทบทวนตัวเองบ้างหรือไม่ ? อย่าลืมว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกหมวด เหมาะในทุกกาลสมัย ท่านบอกว่าเป็นอกาลิโก ไม่โดนจำกัดด้วยเวลา ใครทำก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าทรงให้พวกเราสรุปทบทวนตัวเองอยู่เสมอ จะได้รู้ว่าเป้าหมายชีวิตของเราตอนนี้ เรายังเดินไปตรงตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ ? ตอนนี้เดินไปถึงไหน ? เหลือระยะทางใกล้ไกลเท่าไร ? เราจะได้รู้ว่า เราต้องทุ่มเทพากเพียรให้มากกว่าเดิม หรือว่าระยะที่เหลือนี้สามารถที่จะลดหย่อนผ่อนปรนได้
ขณะเดียวกัน การทำงานก็ต้องรู้กาลเทศะ สัปปุริสธรรมท่านเรียกว่า กาลัญญุตา คือ การรู้กาล รู้วาระ กาละ ก็คือเวลา เทศะ คือสถานที่ ส่วนไหนที่จะเหมาะสมกับเรา ถ้าเราสามารถทำได้ เราก็จะดำรงตนเองอยู่ได้ท่ามกลางสังคมที่มีการแข่งขันสูงมากในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นแล้ว เราเองก็สักแต่เป็นขยะชิ้นหนึ่งที่ลอยไปตามกระแสเท่านั้น
ถ้าหากเขาเห็นประโยชน์หยิบฉวยขึ้นไปใช้ก็ดี ถ้าเขาไม่เห็นประโยชน์ เขี่ยทิ้งก็ลอยตามกระแสต่อไป ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิต อยากมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อยากจะเรียนให้สำเร็จ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า แค่มีอิทธิบาท ๔ ก็พอแล้ว
อิทธิบาท ๔ มี ฉันทะ ยินดีและพอใจที่จะทำงานนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ เต็มใจทำ ไม่ใช่ซังกะตายทำ วิริยะ ทุ่มเทความเพียรพยายามอย่างเต็มที่ มีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของ ทำงานให้ได้เนื้องาน ไม่ใช่ทำงานให้ได้วันหนึ่ง การทำงานให้ได้วันเป็นนิสัยของกรรมกร ไม่ใช่นิสัยของผู้ที่จะมานั่งทำงานในบริษัท
จิตตะ คือ กำลังใจจดจ่อปักมั่นอยู่กับงาน พูดง่าย ๆ ว่า กัดไม่ปล่อย งานไม่เสร็จกูไม่เลิก และท้ายสุด วิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ จะได้รู้ว่าผลงานนั้น เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้หรือไม่ ?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2011 เมื่อ 03:15
|