ในเรื่องของการทำบุญนั้น ถ้าเจตนาโดยตรง คือ เราทำบุญเพื่อเป็นการสละออกจริง ๆ ก็เท่ากับว่าเรามีเจตนาบริสุทธิ์
วัตถุทานบริสุทธิ์ คือ สิ่งที่เรานำมาทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหาร ปัจจัยไทยธรรมต่าง ๆ ได้มาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่ได้ลักขโมยหลอกลวง หยิบฉวยช่วงชิงใครเขามา
ประการต่อมา ผู้ให้ ภาษาพระเรียกว่า ทายก เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยศีล ก่อนที่เราจะทำบุญทุกครั้งจึงมีการขอศีลพระ เพื่อเป็นการตอกย้ำว่า เรามีศีลบริสุทธิ์จริง ๆ
ปฏิคาหก คือ ผู้รับ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าหากบริสุทธิ์โดยทั้งสี่ส่วนนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าอานิสงส์จะเต็มร้อยส่วน แต่ถ้าเราไม่มั่นใจในส่วนของปฏิคาหกคือผู้รับ ก็ให้ถวายเป็นสังฆทานไปเลย
สังฆทานนั้น ท่านแยกเอาไว้หลายประเภทด้วยกัน
ประเภทที่หนึ่ง ก็คือ ถวายต่อหมู่สงฆ์ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน
ประเภทที่สอง ถวายต่อหมู่ภิกษุสงฆ์ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน
ประเภทที่สาม ถวายต่อหมู่ภิกษุณีสงฆ์ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน
ประเภทที่สี่ ถวายต่อหมู่ภิกษุและภิกษุณีสงฆ์ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แสดงว่านิมนต์รวมกัน
ประเภทที่ห้า ถวายต่อหมู่ภิกษุสงฆ์ที่จำเพาะเจาะจงนิมนต์มา ถ้าหากเป็นแบบนี้แสดงว่าต้องเกิน ๔ รูปขึ้นไป
ประเภทที่หก ถวายต่อหมู่ภิกษุณีสงฆ์ที่จำเพาะเจาะจงนิมนต์มา
ประเภทที่เจ็ด ก็คือ ถวายต่อหมู่ภิกษุและภิกษุณีสงฆ์ที่จำเพาะเจาะจงนิมนต์มา
ประเภทที่แปด ก็คือ ถวายต่อหมู่สงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป
สมัยนี้ถ้าภิกษุณีสงฆ์ในเถรวาท ท่านบอกว่าไม่มีแล้ว แต่ทางสายมหายานยังมีอยู่ กลายเป็นว่า ถ้าเราตั้งใจจะทำบุญกับภิกษุณีสงฆ์ในปัจจุบันก็ลำบากนิดหนึ่ง เพราะต้องหาภิกษุณีจากทางฝ่ายมหายาน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2011 เมื่อ 17:33
|