"...การที่ผู้ใดประกอบกิจการด้วยเมตตานั้น ก็หมายความว่าไปในทางที่ถูกแล้ว ถ้าเราปฏิบัติเมตตาโดยจริงใจนั้น ย่อมขัดเกลาจิตใจของเราให้ผ่องใส แต่อันนี้ถ้าพูดอย่างธรรมดาแล้วก็อาจจะมากเกินไป เพราะว่าผู้ที่ปฏิบัติเมตตาแล้วไปถึงที่สุดไปถึงหลุดพ้นนั้น ย่อมต้องประกอบด้วยอื่น ๆ อย่างครบถ้วน
แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติเมตตาเลยเพราะว่าเราบอกว่าเราเป็นปุถุชน เรายังต้องมีการทำมาหาเลี้ยงชีพ ตัวเองยังอยู่ในโลก ไม่เป็นพระ ก็จะไปถึงที่สุดอย่างนั้นเหมือนท่านก็ออกจะยาก จริง ยาก แล้วก็อาจจะใช้เมตตาตัวเดียวไม่พอ ทำไม ทำไมใช้เมตตาตัวเดียวไม่พอ ก็เพราะว่าเมตตานั้นผู้ที่ปฏิบัติเมตตาแล้วถึงที่สุดถึงหลุดพ้น เพราะท่านได้ปฏิบัติเมตตาพร้อมด้วยเครื่องประกอบของเมตตา คือถ้าเราปฏิบัติเมตตาก็เท่ากับปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างอื่น ๆ ด้วยพร้อม
แต่ถ้าเราบอกว่าเราเป็นปุถุชน เราอยู่ในโลก เราเป็นฆราวาส เราต้องทำมาหากิน จึงป่วยการที่จะปฏิบัติเมตตา ก็ดูจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าถามท่านว่า เมตตานี่ถ้าขาดอย่างอื่นก็ปฏิบัติไม่ได้ใช่หรือเปล่า ท่านก็บอกว่าถ้าเกี่ยวข้องกับโลกเมตตาตัวเดียวไม่พอ ถ้าพูดถึงพรหมวิหาร ๔ ท่านก็บอกว่าต้องปฏิบัติจนถึงมีอุเบกขา ก็เป็นความจริง เพราะว่าในโลกถ้าหากว่าเราเมตตาและทำแบบโลกนี่ เมตตาไม่ใช่เมตตา มันเป็นประกอบด้วยราคะ ประกอบด้วยสิ่งที่เรายังไม่ได้ขัดเกลา หรือประกอบด้วยโทสะก็มี..."
|