ถ้าหากทำสมาธิเริ่มทรงตัวเมื่อไร ผลของคาถาก็จะเกิด การเป็นนักบวชของเรา ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นเณร เป็นชี ตลอดจนฆราวาสนักปฏิบัติ มักจะมี “มาร” ต้องใช้คำว่ามาร คือ ฝ่ายที่เขาอยากลองดี
บางทีก็เป็นฆราวาสหน้าตาเห็น ๆ กันนี่แหละ บางทีก็พระด้วยกัน เขาอยากจะลอง ในเมื่อเขาอยากจะลอง ส่งของที่เขาทำมา เราต้องรู้จักกัน รู้จักแก้ ถ้ากันไม่ได้ แก้ไม่เป็น ก็ลำบาก เดือดร้อนไปนาน
คาถาที่สำหรับเอาไว้กันนั้น หลวงพ่อท่านสอนให้เราเสกข้าวกิน จริง ๆ แล้วการเสกข้าวก็คือ การพิจารณาปฏิสังขาโย ในปัจจัย ๔* นั่นเอง ปฏิสังขาโยที่เราพิจารณาอยู่นั้น มีจีวะรังคือเครื่องนุ่มห่ม ปิณฑะปาตังคืออาหาร เสนาสะนังคือที่อยู่อาศัย คิลานะเภสัชคือยารักษาโรค
ท่านให้เราพิจารณาอยู่ตลอดเวลา พิจารณาเพื่ออะไร ? ก็เพื่อให้รู้ตัวว่า เราไม่ได้นุ่งห่มเพื่อความสวยงาม แต่เป็นการปกปิดร่างกายให้พ้นจากความอาย พ้นจากความหนาวความร้อน
ฉันอาหารเข้าไปก็ไม่ใช่เพื่อความอ้วนพีของร่างกาย ไม่ใช่เพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ ไม่ใช่เพื่อยังกิเลสให้เกิดขึ้น แต่เป็นการฉันเข้าไปเพื่อรักษาธาตุขันธ์นี้เอาไว้ เพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรมเท่านั้น
การอยู่อาศัยในเสนาสนะ ก็เพื่อป้องกันฝน ป้องกันแดด ป้องกันพวกสัตว์เลื้อย คลาน พวกยุง พวกเหลือบต่าง ๆ การที่เราฉันยาเข้าไป ก็เพื่อรักษาธาตุขันธ์นี้เอาไว้ปฏิบัติธรรม
ที่เราต้องพิจารณาเสมอ ๆ นั้น เพื่อสร้างสติให้เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ ถ้าหากว่าเอาสติใส่เข้าไป ก็จะเป็นการปฏิบัติธรรมทันที จะเป็นพุทธศาสตร์ทันที
การที่เราจะป้องกันตัวจากไสยศาสตร์ หรือจากบุคคลที่ไม่ประสงค์ดี หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกให้เสกข้าวกิน คาถาที่ท่านบอกให้ใช้มี อยู่ ๒ - ๓ บทด้วยกัน
หมายเหตุ :
* วินย. ๔/๘๗/๑๐๖
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2011 เมื่อ 17:11
|