"...ถ้าเราอยากที่จะได้ผลในการปฏิบัติในทางศาสนาคือ หลุดพ้นวิมุติ มันไม่มีทางพ้นวิมุติ เพราะหลุดพ้นวิมุตินี้การปฏิบัติตัวสำคัญคือต้องมีสติ
ท่านว่ามีหลายทาง แต่ว่าตัวกลางตัวสำคัญคือสติ คือระลึกได้ หมายความว่าเห็นอะไรก็รู้ว่าเป็นอันนั้น ๆ ถ้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ถ้าไปครั้งหนึ่งถ้ารู้จริง ๆ สัก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็หมายความว่าเห็นอะไรปับรู้ อีตานี่มีหูทิพย์ อันนี้ถ้ารู้เรียกว่ารู้ถึง ได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าได้ประโยชน์
แต่ว่าคนเราต้องมีเผลอบ้าง แต่ว่าถ้าสติอยู่กับตัวมีสติสัมปชัญญะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว
อะไร ๆ ก็รู้หมดรู้ได้ทันที แล้วก็เมื่อมีอะไรที่มาโจมตี เราก็ปรับได้ทันทีด้วยสติสัมปชัญญะ
นี่เป็นการปฏิบัติสูงขึ้นมาจากการบูชาด้วยดอกไม้
คือมีสติสัมปชัญญะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นั้น มาได้ด้วยอาศัยรากฐานที่ดีของศีล แล้วก็ต่อมาก็ด้วยมีขั้นสมาธิ ซึ่งสตินี้สัมมาสติอยู่ในจำพวกสมาธิจิตอธิษฐาน
ฉะนั้นก็เมื่อมาถึงเดี๋ยวนี้แล้วก็รู้ ก็เป็นปัญญา คือว่าเรารู้ได้แน่นอนว่าอะไรเป็นอะไร เรารู้อะไรที่ทำให้คนพ้นวิมุติ เรารู้ได้ว่าอะไรทำให้เจริญรุ่งเรือง เราก็ปฏิบัติได้เพราะมีสติ
แล้วก็สติและสมาธิอันเป็นตัวกลางเริ่มด้วยศีลแล้วก็ไปสมาธิเลย ปัญญาก็ทำให้เราเลือกอะไร ๆ ได้ ก็เลือกในทางที่ถูกต้อง กลับมาสามารถที่จะปฏิบัติได้ทั้งในโลก ทั้งในธรรม สามารถที่จะปฏิบัติงานของตัวทั้งงานของฆราวาส ทั้งงานในจิตใจ ทั้งจะเป็นฆราวาสหรือภิกษุได้ ทั้งนี้เริ่มด้วยศีลแล้วก็มาเสริมด้วยสมาธิจึงได้ปัญญา..."
|