"ถ้าใครเคยอ่านเรื่องแม่สานเมืองลับแล ตลอดเวลาที่อาตมาอยู่ในป่าห้าวันห้าคืน ใจสงบนิ่งเองจนไม่ต้องภาวนา เพราะรู้ว่าในป่ามีอันตรายมาก เราจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ กำลังใจก็ทรงตัวเองโดยอัตโนมัติ
พอตอนเดินทางออกจากป่า อาตมาจำทางได้ว่า เหลือระยะทางอีกไม่เท่าไรก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว จิตคลายออกตอนไหนก็ไม่รู้ แทนที่จะอยู่กับการภาวนา อยู่กับความสงบ อยู่กับการนิ่งที่เป็นอุเบกขารมณ์ ก็ไปเที่ยวดูฟ้าดูดิน
บรรยากาศตอนนั้นเป็นป่าดงดิบทึบมาก มีไอความชื้นอยู่มากเหมือนเมฆเหมือนหมอก แดดส่องลงมามากไม่ได้เพราะต้นไม้บังหมด ก็ส่องลงมาเป็นลำ ๆ ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย พอเห็นภาพนั้น เพลงก็ขึ้นมาในใจเองเลย "ดวงตะวันลับทิวแมกไม้ ใจพี่ก็หาย หายลับไปกับตะวัน.." แทนที่จะภาวนากลายเป็นร้องเพลงไปเสียนี่
ไม่รู้ท่านใดจ้องไว้แล้ว คงจะรอจังหวะอยู่ ถีบตูมเดียว..! ตกลงไปในลำธารเลย เปียกตั้งแต่หัวถึงเท้า แล้วเดือนพฤศจิกายนหนาวจะตายชัก เดินสั่นออกมาด้วยความหนาว กว่าจะตากผ้าแห้งได้ก็เป็นชั่วโมง สมน้ำหน้าตัวเองจริง ๆ..!"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-02-2011 เมื่อ 17:16
|