พอทำการสวดอภิธรรมเสร็จ ต้องเคลื่อนโลงศพของหลวงพ่อท่านไปเผาที่ศาลา ๑๒ ไร่ แค่ข้ามฝั่งถนนเท่านั้น มีคนร้องไห้นับไม่ถ้วน
เราจะเห็นว่า ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง จะมีเพียงธรรมสังเวช คือ เกิดสลดใจว่า แม้บุคคลที่ทรงความดีขนาดพระพุทธเจ้าก็ดี หรือหลวงพ่อก็ดี ไปนิพพานกันหมดแล้ว เราเองก็ต้องตายอย่างนั้นด้วยเช่นกัน จะเกิดความไม่ประมาท ตั้งใจปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความหลุดพ้นของเรา
แต่นี่เราไปยึดในตัวบุคคล ในเมื่อยึดในตัวบุคคล แทนที่จะยึดในความดีของหลวงพ่อ พอเห็นโลงศพ ไม่ได้สนใจว่าโลงจริงหรือโลงปลอม หลวงพ่อถือสายสิญจน์นำโลงมาแท้ ๆ เขาก็ร้องไห้ไว้ก่อนแล้ว แสดงว่าไม่ได้ลืมตามาดูเลย ว่าใครเดินมาข้างหน้า
งานนั้นคนแน่นไปหมด จนอาตมาเดินไม่ได้ อาตมาที่เดินจูงสายสิญจน์อยู่ก็ต้องหยุด เพื่อรอคนเปิดทางให้ อยู่ ๆ ก็มีคนเตะก้น "ป้าบ..!" ก็หันไปดูว่าใครเตะกูวะ ? หันไปเจอหลวงพ่อ ท่านพยักหน้าบอกว่า "เดินสิโว้ย..หยุดทำไม ?" อ๋อ..หลวงพ่อเตะนี่เอง ก็คือถ้าอาตมาไม่เดินต่อ โยมเขาก็ไม่เปิดทางให้ อาตมาก็มัวแต่หยุดรอให้เขาเปิดทาง เลยไม่ต้องไปกันเสียที
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2011 เมื่อ 15:20
|