"พอตกเย็น ต้องไปทำกรรมฐานทุกวันที่ตึกธัมมวิโมกข์ ทำวัตรเย็นเสร็จก็เจริญกรรมฐาน ถึงทุ่มครึ่งจึงกลับกุฏิ เวลากลับอาตมาที่เคยชินกับการเดิน ก็เดินออกจากตึกธัมมวิโมกข์เลาะมาผ่านตึกกลางน้ำ (ตึกสงวนจิตรและเพื่อน)
ตอนนั้นหลวงพ่อพักอยู่ที่ตึกกลางน้ำ ก็ยกมือไหว้ที่ตึกหลวงพ่อ นึกในใจว่า "หลวงพ่อครับ..ขนาดพี่ ๆ เขาอยู่กันมานานอย่างนั้น ยังไปกันหมด แล้วน้ำหน้าอย่างผมจะอยู่ได้หรือครับ ?" พอคิดอย่างนั้น รู้สึกเหมือนกับพื้นที่ทั้งหมดว่างโล่ง แผ่นดินแผ่นฟ้าหายไปหมด เหลือพระพุทธเจ้าในลักษณะปางลีลาองค์ใหญ่ยืนค้ำฟ้า แล้วพระหัตถ์ของพระองค์ท่านก็จูงแขนอาตมาข้างหนึ่ง
พระหัตถ์อีกข้างทรงชี้ไปข้างหน้าไกลลิบโลกเลย เห็นจุดวิบ ๆ ๆ เหมือนอย่างกับเพชรสว่างแพรวพราว ทรงตรัสว่า "พระนิพพานอยู่ข้างหน้าโน่น..ไปให้ถึงนะลูก" ภาพนี้ติดตาติดใจอาตมาตลอดมา คิดว่าถ้ามีโอกาสก็จะสร้างพระบรมรูปของพระองค์ในลักษณะอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที
ตอนแรกที่เห็นเพื่อนพระ คือพระอาจารย์วันชาติ วํสธมฺโม วัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อย ท่านสั่งแกะพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร อาตมาเห็นก็บอกกับท่านว่า "นี่แหละ..แบบที่ผมอยากได้เลย" แต่ของท่านองค์เล็ก ทั้งฐานและองค์สูง ๒ เมตรเท่านั้น ถามท่านว่า "ค่าแกะเท่าไร ?" ท่านบอกว่า "อาจารย์ถามค่าหินผมก่อนดีกว่า" จึงถามว่า "ค่าหินของคุณเท่าไร ?" ท่านบอกว่า "สามแสนบาท..!"
"แล้วค่าแกะล่ะ ?" ท่านบอกว่า "หกแสนบาท..!" นี่แค่ ๒ เมตรนะ ก็เลยถามว่าช่างอยู่ที่ไหน ? ท่านบอกว่าอยู่เชียงรายแถวแม่สายโน่น.. "ผมอยากได้อย่างนี้บ้าง" ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นต้องบอกให้ช่างเขาหาหินไว้ให้ก่อน"
ปรากฏว่าเกือบสองปีถึงจะได้หินมา แต่หินของอาตมา ช่างเขาคำนวณพื้นที่แล้ว องค์พระจะแกะได้สูง ๒ เมตร มีฐานพระอีก ๗๐ เซ็นติเมตร ช่างจึงขอคิดค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น ๗๐๐,๐๐๐ บาท ใช้เวลาในการแกะประมาณ ๑๘ เดือน"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 25-01-2011 เมื่อ 05:15
|