พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดเพราะเหตุ เมื่อมันจะดับก็เพราะเหตุมันดับไปก่อน”
อะไรจะเกิดก็เกิดเพราะเหตุทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและในที่สุด บังเกิดผลจะดับเพราะดับที่ต้นเหตุ ทั้งเหตุเบื้องต้น ท่ามกลางและในที่สุด
จะเห็นว่าสังขาร การปรุงแต่งทางอารมณ์เกิดเพราะอวิชชา สังขารจะดับก็ต้องดับอวิชชา วิญญาณเกิดเพราะมีสังขารเกิดจะต้องดับที่สังขาร นามรูปเกิดเพราะมีวิญญาณ นามรูปจะดับต้องดับที่วิญญาณ อายตนะเกิดเพราะมีนามรูปเกิดจะต้องดับที่นามรูป ผัสสะเกิดเพราะมีอายตนะเกิดจะดับต้องดับที่อายตนะ
เวทนาเกิดเพราะมีผัสสะเกิดจะต้องดับที่ผัสสะ ตัณหาเกิดเพราะมีเวทนาเกิดจะต้องดับที่เวทนา อุปาทานเกิดเพราะมีตัณหาเกิดจะต้องดับที่ตัณหา ภพเกิดเพราะมีอุปาทานเกิดจะต้องดับที่อุปาทาน ชาติเกิดเพราะมีภพเกิดจะต้องดับที่ภพ และชราโรคามรณาเศร้าโศกเสียใจเกิดเพราะมีชาติเกิดจะต้องดับที่ชาติ อย่างนี้เรียกว่าแก้ที่ต้นเหตุ อวิชชาดับเสียตัวเดียวทั้งกระบวนการก็จะดับหมดสิ้น เรียกว่าสิ้นอาสวะกิเลส จิตจะสงบอยู่ได้ทุกสถานการณ์ จะท่ามกลางความเงียบ ท่ามกลางความวุ่นวาย ท่ามกลางความติฉินนินทา จิตจะสงบเป็นเช่นนั้น ไม่หนีไปไหน
เหตุเกิดปัจจัยทั้ง ๑๒ ขั้น ให้ดับตามขั้นตอนตรงนั้น จิตจะไม่ห่างพระพุทธะอย่างแน่แท้ ดังนี้
๑. อวิชชา ความไม่รู้ในเหตุผลในอริยสัจ ๔
๒. สังขาร การปรุงแต่งทางอารมณ์
๓. วิญญาณ ความรู้สึกทั้งมวล ร้อน หนาว ฯลฯ
๔. นามรูป สิ่งที่ปรากฏ
๕. อายตนะ เครื่องสัมผัสรับรู้
๖. ผัสสะ เครื่องกระทบรับรู้
๗. เวทนา ความสุข ความทุกข์ ความไม่สุข ไม่ทุกข์
๘. ตัณหา ความทะยานอยากในกามคุณ ๕
๙. อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น
๑๐. ภพ สถานที่ไปปฏิสนธิวิญญาณ
๑๑. ชาติ การเกิด
๑๒. ชราโรคามรณา การเปลี่ยนแปลงคือ ทุกข์
กระบวนการทั้ง ๑๒ ขั้นตอนจะเกี่ยวพันเป็นวงจรลูกโซ่ *สิ่งหนึ่งเกิดอีกสิ่งหนึ่งก็เกิดตามเป็นปัจจัยต่อกัน สิ่งหนึ่งดับอีกสิ่งหนึ่งย่อมดับตามเป็นอยู่อย่างนี้* เป็นเช่นนี้ มีอยู่อย่างนี้ เดินไปอย่างนี้ไม่สิ้นสุด ทุกข์ก็เกิดเพราะเหตุนี้ สุขก็เกิดเพราะเหตุนี้ ทุกข์ดับเพราะสุขเกิด ทุกข์เกิดเพราะสุขดับ เพราะเหตุนี้จึงต้องเรียนรู้กระบวนการของจิตเพื่อแก้ปัญหาชีวิต แสวงหา ค้นหาหนทางที่ต้องการอย่างตรงไปตรงมา จะพ้นทุกข์ จะเกิดทุกข์อยู่ที่กฎอย่างนี้ ตามคำสอนของพระพุทธองค์ทรงสอนอย่างนี้เรียกว่า “ปฏิจสมุปบาท”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2011 เมื่อ 01:06
|