แต่ถ้าพิจารณาแล้ว กำลังใจของเราถอยหลัง อย่างนั้นก็แย่แล้ว เพราะว่าเราสู้กิเลสไม่ได้แล้ว จำเป็นที่จะต้องรวบรวมกำลังใจของเราขึ้นมาใหม่ แล้วตั้งหน้าปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ของเราต่อไป เพื่อที่จะสร้างกำลังใจของเราให้เข้มแข็ง ให้มั่นคง
โดยมีศีลเป็นกรอบ ไม่ให้เราหลุดออกจากเขตของความดี มีสมาธิเป็นกำลัง เพื่อที่จะหักห้ามใจของเราไม่ให้ละเมิดในสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง มีปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ให้เราก้าวไปในทางที่ถูก หรือถ้าท่านเห็นว่า ในเรื่องของอิทธิบาทนั้น วัดกำลังใจของท่านได้ไม่ชัดเจน เราจะเปลี่ยนจาก อิทธิบาท ๔ มาเป็น สัมมัปปธาน ๔ ก็ได้ สัมมัปปธาน ๔ คือ ความเพียรในด้านที่ถูกต้อง ๔ ประการด้วยกัน
อย่างที่ ๑ เรียกว่า สังวรปธาน ท่านบอกว่า เพียรพยายามระมัดระวัง ไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้นในใจของเรา
อย่างที่ ๒ เรียกว่า ปหานปธาน เพียรพยายามละความชั่วในใจของเราให้หมดสิ้นไป อย่างที่ ๑ ระวังไม่ให้ความชั่วเกิด อย่างที่ ๒ ขับไล่ความชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ออกไปให้หมด นี่จึงเป็นสิ่งที่เพียรพยายามถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
อย่างที่ ๓ เรียกว่า ภาวนาปธาน คือ เพียรสร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา
อย่างที่ ๔ เรียกว่า อารักขนานุปธาน คือ การเพียรพยายามรักษาความดีในใจของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
จะว่าไปแล้ว สัมมัปปธาน ๔ นี้เป็นเครื่องประกันคุณภาพให้แก่ทุกคน ว่าจิตใจของเรามีคุณภาพดีพอหรือไม่ ถ้าหากว่าเรารู้จักระมัดระวัง ไม่ให้ความชั่วเข้ามาในใจ ถ้ามีความชั่วเข้ามาก็ขับไล่ออกไปโดยเร็ว เพียรพยายามสร้างความดีขึ้นมาในใจ เมื่อมีความดีแล้ว ก็ประคับประคองรักษาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็เป็นการประกันคุณภาพได้ว่ากำลังใจของเราจะมีแต่ก้าวหน้าในด้านที่ดีขึ้นเท่านั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2011 เมื่อ 17:01
|