ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 14-11-2010, 00:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,561 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อสติของเราอยู่กับปัจจุบัน แม้ว่าร่างกายของเราจะเคลื่อนไหวอยู่ สภาพจิตของเราก็ไม่อาจจะปรุงแต่งไปในเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง ได้

อย่างเช่นว่า ความรู้สึกตอนนี้รู้ว่าเท้าขวากำลังยกขึ้น เคลื่อนไป เหยียบลง เท้าซ้ายกำลังยกขึ้น เคลื่อนไป เหยียบลง แขนขวาขณะนี้ แกว่งไปข้างหน้า แขนซ้ายแกว่งไปข้างหลัง หรือว่า แขนซ้ายขณะนี้แกว่งไปข้างหน้า แขนขวาแกว่งไปข้างหลัง เป็นต้น

เมื่อความรู้สึกละเอียดมาก สามารถติดตามอาการทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายนี้ได้ เมื่อจิตละเอียดกำหนดรู้อยู่กับปัจจุบันขณะนี้ การที่จะปรุงแต่งไปเป็น รัก โลภ โกรธ หลง ที่ทำให้เกิดทุกข์เกิดโทษก็ไม่มี เพราะว่าจิตหยุดอยู่กับการกำหนดในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะแบ่งความรู้สึกเพื่อไปปรุงไปแต่งได้

สิ่งทั้งหลายที่เราทำอยู่จึงเป็นเพียงกิริยาเท่านั้น จะไม่เกิดกรรมคือผลของการกระทำขึ้น เพราะว่าจิตไม่ได้มีส่วนร่วมในการปรุงแต่งสิ่งที่กระทำนั้น ๆ นอกจากดูตามความเป็นจริงในปัจจุบันว่า ตอนนี้เท้าขวาเคลื่อนไป เหยียบลง ตอนนี้เท้าซ้ายเคลื่อนไป เหยียบลง ตอนนี้แขนขวาแกว่งไปข้างหน้า แขนซ้ายแกว่งไปข้างหลัง ตอนนี้แขนซ้ายแกว่งไปข้างหน้า แขนขวาแกว่งไปข้างหลัง เป็นต้น

เมื่อความรู้สึกอยู่อย่างนี้ การปรุงแต่งไปในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ก็จะไม่มี กรรมชั่วใด ๆ ก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ การมีสติรู้เท่าทันในปัจจุบันก็เป็นกรรมดี เป็นบุญอย่างมหาศาลยิ่ง เพราะว่าจิตใจผ่องใสจากกิเลส ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง อย่างสิ้นเชิง เป็นการปฏิบัติตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ว่า สจิตฺตปริโยทปนัง การชำระจิตใจของตนให้ผ่องใส
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-11-2010 เมื่อ 13:45
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา