อีกข้อหนึ่งที่อยากกล่าวถึงคือ การทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นเครื่องช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้สงบเยือกเย็น ขณะเดียวกันสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในภพภูมิที่เราไม่สามารถจะมองเห็นได้ ถ้าได้รับความเย็นจากกระแสเมตตาของเรา จะเกิดความหวังดีปรารถนาดี ช่วยประคับประคอง ช่วยอำนวยความสะดวก ให้เรามีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ
นอกจากนี้แล้ว พรหมวิหาร ๔ ยังเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้เยือกเย็น ไม่คล้อยตามไปกับรัก โลภ โกรธ หลงได้ง่าย ๆ บุคคลที่ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ จึงมีโอกาสเข้าถึงมรรคผลมากกว่าผู้อื่น
ดังนั้น..ในการปฏิบัติของเรา นอกจากการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับคำภาวนาหรือภาพพระแล้ว ระหว่างที่ปฏิบัติต้องละทิ้งความวิตกกังวลทั้งหมดเสียก่อน ตรวจสอบดูว่าจิตใจของเราขณะนั้นมีนิวรณ์ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งแทรกสิงอยู่หรือไม่ ?
ตอนนี้เราเป็นผู้ที่มีสัจจะตั้งมั่นแล้วหรือยัง ? ถึงเวลาปฏิบัติ เราลงมือโดยฉับพลันทันที หรือว่ามีการผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ ในขณะเดียวกันเรามีพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติหรือไม่ ?
ขอให้ทุกท่านพินิจพิจารณาดูกำลังใจของตน สิ่งใดขาดตกบกพร่องก็เสริมสร้างให้เต็มขึ้นมา สิ่งใดที่มีอยู่แล้ว ก็ทำให้เจริญให้ดีงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป
โดยเฉพาะการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนานั้น เป็นสิ่งที่ละเว้นเสียไม่ได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ช่วยสงบระงับ ไม่ให้จิตใจของเราฟุ้งซ่านไปกับ รัก โลภ โกรธ หลงได้
ในลำดับต่อไปนี้ ขอให้ทุกท่านกำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา หรือพิจารณาของเราตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๓
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 17:03
|