อีกจุดหนึ่งก็คือ ผู้ที่ปฏิบัติต้องเป็นผู้ที่ทรงสัจจบารมี ถ้าขาดสัจจบารมี เราก็จะเป็นผู้ที่ไม่มีความจริงจังจริงใจในการปฏิบัติ จะกลายเป็นคนที่ทำบ้างทิ้งบ้าง ซึ่งถ้าว่าไปแล้ว มีโทษมากกว่าไม่ปฏิบัติเลยเสียอีก
เพราะว่าการปฏิบัตินั้นเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ เมื่อถึงเวลาเราทิ้งการปฏิบัติ ก็เท่ากับลอยตามน้ำไป แล้วเราปฏิบัติใหม่ก็ว่ายทวนน้ำขึ้นมา ถึงเวลาปล่อยทิ้งก็ลอยตามน้ำไปอีก เท่ากับว่าเราเป็นคนขยัน ทำงานทุกวันแต่ไม่มีผลงานให้ภูมิใจเลย
จนอาจจะเกิดมิจฉาทิฐิ เข้าใจผิดไปได้ว่า ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของจริง เพราะว่าปฏิบัติแล้วไม่เห็นได้ผลเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นท่านก็แย่แล้ว เพราะความเป็นมิจฉาทิฐิเกาะกินใจ ปัญญาต่าง ๆ ก็จะถดถอยไปด้วย
บุคคลที่ไม่ปฏิบัติเลยยังไม่สามารถที่จะกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะว่าตนเองไม่ได้ลองปฏิบัติ แต่บุคคลที่ปฏิบัติแล้วทิ้ง ปราศจากสัจจบารมี คือไม่มีความจริงจังสม่ำเสมอในการปฏิบัติ กลับสามารถพูดได้ว่าตนเองทำแล้วแต่ไม่เกิดผล จึงกลายเป็นโทษมากกว่าคนทั่วไป
ดังนั้น..สัจจบารมีจึงเป็นส่วนสำคัญ ต้องเป็นคนที่จริงจัง จริงใจ ตรงต่อเวลา เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ ตั้งใจไว้ ต้องปฏิบัติทันที เพราะว่าการปฏิบัตินั้น ต่อให้เราปฏิบัติตลอด ๒๔ ชั่วโมง กิเลสก็ยังมีโอกาสแทรกเข้ามาสิง เข้ามากินใจของเราได้ ถ้าเราไม่กำหนดเวลาปฏิบัติของตนเองให้แน่นอน แล้วทุ่มเททำให้เต็มที่ ก็แปลว่าเรามีสิทธิ์ที่จะแพ้กิเลสอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 01:51
|