ถ้าหากว่าเราก้าวมาถึงระดับนี้ กำลังของเราเพียงพอที่จะใช้ตัดกิเลสในความเป็นพระอนาคามีและพระอรหันต์ได้ ถ้าทุกคนมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ต้องฝึกซ้อมบ่อย ๆ ซ้อมเข้าซ้อมออก เลื่อนขึ้นเลื่อนลง ให้กำลังใจของเราเข้าฌานตามลำดับบ้าง ถอยหลังตามลำดับบ้าง เข้าฌานสลับขึ้นหน้าบ้าง เข้าฌานสลับถอยหลังบ้าง
ไม่ว่าจะเป็น ฌาน ๑ , ๒ , ๓ , ๔ หรือ ฌาน ๔ , ๓ , ๒ , ๑ หรือ ฌาน ๑ , ๔ , ๓ , ๒ อะไรก็ตาม ทำให้คล่องตัวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องการอารมณ์ระดับไหนให้เข้าถึงได้ทันที เพื่อให้เกิดความคล่องตัว แหลมคม ว่องไว ถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น เราจะได้ใช้กำลังใจต่อต้านได้ทันท่วงที
สำหรับวันนี้ เรื่องของสมาธิก็จะกล่าวแต่เพียงเท่านี้ อย่าลืมว่าเมื่อวานนี้คือเรื่องของศีล วันนี้คือเรื่องของสมาธิ ศีลนั้นเป็นปัจจัยพื้นฐานให้ก่อเกิดสมาธิขึ้น เมื่อสมาธิทรงตัวก็สามารถใช้กลับไปควบคุมศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกันสมาธิที่ทำให้ใจสงบนิ่งนั้น ก็จะก่อให้เกิดปัญญาด้วย เราจะกล่าวถึงปัญญาในวันพรุ่งนี้
สำหรับตอนนี้ถ้าหากว่าเรายังมีคำภาวนาอยู่ มีลมหายใจอยู่ ก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจ กำหนดรู้คำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนาแล้ว ก็ให้กำหนดรู้ไปเรื่อย ๆ อย่าอยากได้ อย่าอยากเป็น
มีหน้าที่กำหนดอย่างเดียว อะไรจะเกิดขึ้นให้เป็นไปโดยธรรมชาติของเขา ให้ทุกคนตั้งกำลังใจเอาไว้ดังนี้จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกหมดเวลา
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๓
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2010 เมื่อ 10:14
|