เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๓
ให้ทุกคนนั่งท่าที่สบายของตน กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ากำหนดรู้พร้อมกับคำภาวนา หายใจออกกำหนดรู้พร้อมกับคำภาวนาที่เราชอบใจ
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นการเจริญกรรมฐานวันที่สองของเดือนนี้ เมื่อวานได้กล่าวถึงพื้นฐานของความดี คือศีลไปแล้ว
ความดีของศีลนั้นมีอยู่จุดหนึ่งก็คือ เป็นเครื่องคอยส่งเสริมให้สมาธิทรงตัวตั้งมั่นได้เร็ว เราทั้งหลายที่ปฏิบัติอยู่นั้น ความหวังอย่างหนึ่งคือ ต้องการทรงสมาธิให้เป็นอัปปนาสมาธิ ตั้งแต่ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ หรือจะได้อรูปฌาน ๔ เป็นสมาบัติ ๘ ไปเลยก็ยิ่งดี
เมื่อทุกคนหวังดังนี้ ก็ควรที่จะศึกษาด้วยว่าฌานสมาบัตินั้นประกอบไปด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ? อย่าลืมว่าการปฏิบัติของเรานั้น ถ้าขาดอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออก สมาธิเราจะทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิไม่ได้ ดังนั้น..การกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก พร้อมกับภาพพระหรือคำภาวนาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เมื่อเรากำหนดจดจ่อต่อเนื่องตามลมหายใจเข้าไป กำหนดจดจ่อต่อเนื่องตามลมหายใจออกมา โดยใช้คำภาวนาที่เราชอบใจแล้ว เมื่อทำไปถึงระดับหนึ่ง กำลังใจก็จะเริ่มทรงตัวตั้งมั่นขึ้นมา โดยจะเป็นปฐมฌานขึ้นมาก่อน
ปฐมฌานนั้นประกอบไปด้วยองค์ ๕ คือ วิตก คิดนึกตรึกอยู่ว่าจะภาวนา วิจารณ์ คือกำหนดรู้ว่าลมหายใจของเราแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น เราใช้คำภาวนาว่าอย่างไร เมื่อพ้นจากช่วงนี้ไปก็จะล่วงเข้าเขตของปีติ คือมีอาการ ๕ อย่าง ได้แก่ ขนลุกบ้าง น้ำตาไหลบ้าง ร่างกายโยกไปโยกมา ดิ้นตึงตังโครมครามบ้าง หรือว่าลอยขึ้นทั้งตัวบ้าง
ตลอดจนกระทั่งรู้สึกว่าตัวพองตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด ตัวรั่วเป็นรู หรือเห็นแสงเห็นสีต่าง ๆ ตอนช่วงนี้จิตใจจะมีความเอิบอิ่มมากเป็นพิเศษ จะไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติเพราะเริ่มเห็นผลแล้ว
ขอให้ทุกคนระมัดระวังตรงจุดนี้ไว้ให้ดี เพราะว่ามารจะแทรกได้ง่าย อาจจะทำให้เราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติโดยไม่พักไม่ผ่อนไม่กินไม่นอน ร่างกายอาจจะทนไม่ไหว แล้วจะเกิดอาการสติแตกหรือกรรมฐานแตกไปเอง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-09-2010 เมื่อ 13:33
|